สถานการณ์ป่าไม้
พื้นที่ป่าไม้ปกคลุม 1 ใน 3 ของพื้นที่โลก
ป่าไม้เขตร้อน
ป่าไม้เขตหนาว
ป่าไม้เขตอบอุ่น
ป่าไม้เขตกึ่งร้อน
สถานการณ์ป่าไม้ในประเทศไทย
นิยามพื้นที่ป่าไม้ คือ “พื้นที่ปกคลุมของพืชพรรณที่สามารถจำแนกได้ว่าเป็นไม้ยืนต้น ปกคลุมเป็นผืนต่อเนื่องขนาดไม่น้อยกว่า 3.125 ไร่ และรวมถึงทุ่งหญ้า และลานหินที่มีอยู่ตามธรรมชาติที่ปรากฏล้อมรอบด้วยพื้นที่ที่จำแนกได้ว่าเป็นพื้นที่ป่าไม้ โดยไม่รวมสวนยูคาลิปตัส พื้นที่วนเกษตร สวนผลไม้ สวนยางพารา และสวนปาล์ม”
ตำแหน่งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบางส่วนที่กำลังสร้างในพื้นที่อนุรักษ์
ทั้งนี้ 76 โครงการตามเอกสารดังกล่าวยังไม่รวม 7 โครงการอ่างเก็บน้ำในผืนป่ามรดกโลกดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ที่บางโครงการ เช่น อ่างเก็บน้ำคลองมะเดื่อ มีความคืบหน้าจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเสร็จและเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชำนาญการไปแล้ว 1 ครั้ง บางโครงการอยู่ในระหว่างการคัดเลือกพื้นที่หัวงาน และยังมีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ป่าอนุรักษ์บางโครงการที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ในเอกสาร 76 โครงการนี้ เช่น อ่างเก็บน้ำคลองตาหลิว อ่างเก็บน้ำคลองตารอง ที่มีแผนจะก่อสร้างในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว เป็นต้น
“ประเทศเราจะเลือกไปในทิศทางใด คงต้องตั้งคำถามดังๆ ไปยังผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ เพราะหากไม่มีป่า ก็ไม่มีน้ำ”
ป่าไม้มีองค์ประกอบที่สลับซับซ้อนตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ทำหน้าที่ในการแลกเปลี่ยน กักเก็บ และปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งในทุกส่วนของพืชมีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบ รวมถึงไม้และเศษซากพืชที่ตายแล้วกลายเป็นแหล่งธาตุอาหารสำคัญของสิ่งมีชีวิต เศษซากเหล่านี้ถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ซึ่งมีการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และถูกจัดเก็บไว้ในดิน นอกจากนี้เนื้อไม้ที่นำมาใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ ตู้ หรือบ้าน ที่ทำมาจากไม้ก็ยังคงกักเก็บคาร์บอนไว้ (Carbon pool) ในระยะยาวได้ต่อไป ดังนั้น "ป่าไม้" จึงเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอน (Carbon sink) ที่สำคัญของโลก
แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นแหล่งปลดปล่อยคาร์บอน (Carbon source) ด้วย รายงานจาก IPCC กิจกรรมมนุษย์ในปัจจุบัน ส่งผลต่อกระบวนการธรรมชาติ ไม่ว่าจะจากเกษตรกรรม ความเสื่อมโทรมของที่ดินและพื้นที่ป่าไม้ การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินอื่นๆ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงไฟป่าที่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ป่าไม้ จึงเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยการเพิ่มพื้นที่ป่าและพื้นที่สีเขียวเพื่อสร้างแหล่งกักเก็บคาร์บอน และจัดการป่าไม้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดูดซับ และลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมมนุษย์ที่สร้างผลกระทบต่อป่าไม้
ป่าไม้
- พรรณไม้ป่าธรรมชาติ ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ 0.95 ตัน CO2/ไร่/ปี (เทียบกับพรรณไม้พื้นเมืองโตช้า)
- ไม้เศรษฐกิจ (กรณีไม้สัก ในพื้นที่เหมาะสมมาก) สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ 1.36 ตัน CO2/ไร่/ปี
- พรรณไม้ป่าชายเลน (โกงกาง) สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ 2.75 ตัน CO2/ไร่/ปี
มหาสมุทร
- มหาสมุทร มีความสามารถในการเป็น carbon sink ที่ดี กักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 22 ล้านเมตริกตัน/วัน
ชั้นบรรยากาศ
ภาคพลังงาน
- การผลิตไฟฟ้า 37.5 ล้านตัน CO2
- ขนส่ง 27.9 ล้านตัน CO2
- อุตสาหกรรม 32.7 ล้านตัน CO2
- ครัวเรือน เกษตรกรรม พาณิชยกรรม และอื่นๆ 6.3 ล้านตัน CO2
ภาคของเสีย
ภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน
ประเทศไทยปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไปแล้ว 104.3 ล้านตัน CO2
ในช่วงเดือน ม.ค.-พ.ค. ที่ผ่านมา แต่ป่าธรรมชาติดูดซับกลับได้เพียง 97 ล้านตัน CO2
ข้อมูลอ้างอิง
- Global Forest Resources Assessment 2020 (FRA 2020)
- Forest Pulse: The Latest on the World’s Forests https://bit.ly/3gJCUMp
- โครงการจัดทำข้อมูลสภาพพื้นที่ป่าไม้ ปี พ.ศ. 2563, สำนักจัดการที่ดินป่าไม้ กรมป่าไม้
- สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, 2562
- เอกสารการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ครั้งที่ 4/2563 เมื่อ 18 ธันวาคม 2563
- คู่มือศักยภาพพรรณไม้.องค์การบริการก๊าซเรือนกระจก