ชีวิตและความตายของ สืบ นาคะเสถียร นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 68 ปีที่ 6 เดือนตุลาคม 2533
อาจกล่าวได้ว่านิตยสารสารคดี ฉบับนี้ เป็นนิตยสารเล่มแรกที่นำภาพคุณสืบ นาคะเสถียร มาเป็นภาพหน้าปกหลังการเสียชีวิตของคุณสืบ และเป็นนิตยสารเล่มแรกที่ได้บอกเล่าเรื่องชีวิตและผลงานของคุณสืบ นาคะเสถียร ไว้อย่างครบถ้วนในเวลานั้น
นอกจากสารคดีหลัก ชีวิตและความตายของ สืบ นาคะเสถียร เขียนโดยคุณวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ แล้ว นิตยสารสารคดี ฉบับนี้ยังได้รวบรวมจดหมายของแฟนานุแฟนนิตยสารที่สนใจเรื่องราวอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ตลอดจนเคารพนับถือหน้าที่ ผลงาน และอุดมการณ์ของคุณสืบมาตีพิมพ์ เสมือนเป็นการบอกเล่าให้เห็นว่า ข่าวการจากไปของคุณสืบได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้แก่สังคมในเวลานั้นมากแค่ไหน
“วันนี้ไม่มีสืบ นาคะเสถียรที่ห้วยขาแข้งแล้ว แต่เราจะเดินทางไปทุกหนทุกแห่ง และป่าวประกาศสิ่งที่ได้พบเห็น ให้ผู้คนได้รับรู้เรื่องราวธรรมชาติ ป่าไม้ ลำธาร ฯลฯ ที่ยังพอหลงเหลืออยู่และมีผู้คอยจ้องตักตวงผลประโยชน์ แม้จะเป็นเพียงเสียงนกเสียงกาเล็กๆ ตัวหนึ่ง แต่เราเชื่อว่าเสียงนก เสียงกา ทั้งฝูง มันก็ดังพอที่จะทำให้ผู้มีอำนาจทั้งหลายได้ตื่นจากภวังค์ ขอเพียงแต่ให้พวกเรารวมฝูงกันได้ ด้วยความเชื่อมั่นและอุดมการณ์อันแน่วแน่ การจากไปของเขา ก็จะเป็นการ ‘ตายสิบ เกิดแสน’ …เราหวังเช่นนั้น” จดหมายจาก ‘ผู้เดินทาง’
“ผมดูข่าวทางช่อง 5 รู้สึกแปลกใจเกี่ยวกับการเสียชีวิตของคุณสืบ นาคะเสถียร ตัวผมเองนั้นไม่เคยรู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวเลย แต่ได้ทราบถึงผลงานของท่านในงานด้านอนุรักษ์ธรรมชาติและพิทักษ์สิ่งแวดล้อม พอทราบถึงสาเหตุก็นึกสงสารท่านเป็นอย่างมาก รวมทั้งเสียใจกับครอบครัวของท่านด้วย และก็เสียใจกับตัวเองที่บัดนี้เราได้ขาดคนที่เข้าใจในคุณค่าของธรรมชาติและผู้ที่จะปกป้องมรดกทางธรรมชาติของแผ่นดินนี้ จะมีใครอีกสักกี่คนที่จะระลึกถึงเรื่องนี้ อีกไม่นานคงจะลืมเลือนไปเหมือนดังเหตุการณ์ในอดีตที่เคยผ่านมา การเสียชีวิตของท่านทำให้เห็นความล้มเหลวของกรมป่าไม้หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะรัฐบาล คนบางคนอาจจะบอกไม่น่าเลย แต่บางคนคงจะพอใจในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น (การขาดความสนใจในการที่จะทำงานให้บรรลุผล โดยปฏิบัติงานอย่างจริงจังและจริงใจของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม) จนมีผลถึงการตัดสินใจของคุณสืบ ผมหวังว่าพวกเราที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของท่านคงจะสืบสานเจตนารมณ์ของท่านต่อไป” จดหมายจาก ‘เอกราช’
ชีวิตและความตายของ สืบ นาคะเสถียร
หากมีวันหนึ่ง คุณถูกคนทำร้ายจับล่ามโซ่ ภรรยาของคุณกำลังถูกคนร้ายข่มขืน คุณไม่สามารถจะช่วยเหลือคนรักของคุณได้ คุณดิ้นสุดขีดแต่ไร้ผล คุณตะโกนก้องเพื่อให้คนอื่นมาช่วย แต่คนเหล่านั้นแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน บางคนบอกว่าให้คุณช่วยตัวเองไปก่อน คุณดิ้นพล่านเมื่อเมียรักร้องครวญด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่มีใครสนใจ
แล้วสุดท้ายคุณก็มิอาจทนกับสภาพอันบัดซบที่เกิดขึ้นต่อหน้าคุณ โดยที่คุณไม่อาจช่วยภรรยาอันเป็นที่รักยิ่งได้ และถึงเวลานั้นคุณแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ คุณอาจเลือกทำร้ายตัวเองเพื่อบอกว่า มีอะไรบ้างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของคุณ
คนส่วนใหญ่อาจมีชีวิตเพื่อครอบครัวและตัวเอง แต่สำหรับสืบ นาคะเสถียร แล้ว เขารักและหวงแหนชีวิตสัตว์ป่าและป่าไม้มากกว่าตัวเองและครอบครัวเสียอีก เขาทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตเพื่อสิ่งอันเป็นที่รักยิ่ง เขาวิ่งพล่านไปทั่วประเทศเพื่อบอกให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้รู้ว่า อะไรเกิดขึ้นกับสัตว์ป่าและป่าไม้เมืองไทย
…ไม่มีใครสนใจ
ก่อนรุ่งสางของวันเสาร์ที่ 1 กันยายน เสียงปืนนัดหนึ่งจึงดังขึ้นที่ห้วยขาแข้ง ในราวป่าลึก
สองอาทิตย์ต่อมา ห่างจากบริเวณที่เกิดเสียงปืนดังขึ้นไม่กี่สิบเมตร เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกรมป่าไม้ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายทหาร นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นายอำเภอ ป่าไม้เขต และเจ้าหน้าที่อีกนับร้อย ต่างรีบเร่งมาประชุมปรึกษาหารือในการป้องกันการทำลายเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งอย่างแข็งขัน
สืบ นาคะเสถียร รอวันนี้มาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้
หากไม่มีเสียงปืนในราวป่านัดนั้น การประชุมวันนั้นก็คงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ ในนิตยสารสารคดี ฉบับที่ 68 ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของคุณสืบ ประกอบไปด้วย
– บทบรรณาธิการ ได้มอบพื้นที่ตรงนี้เขียนถึงเจตนารมณ์เมื่อแรกก่อตั้งมูลนิธิสืบนาคะเสถียร
– บทสัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายของ สืบ นาคะเสถียร
– บทสัมภาษณ์ คุณวีรวัธน์ ธีระประสาธน์ เพื่อนสนิทของคุณสืบ นาคะเสถียร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรอยู่ ในเรื่องราว งานและปณิธานของคนเฝ้าป่า
สารคดี : คุณวีรวัธน์คิดว่าการตายของคุณสืบ จะส่งผลต่อวงการอนุรักษ์ และคนที่ทำงานด้านนี้อย่างไร
วีรวัธน์ : ในแง่ของความเป็นเพื่อนกันแล้วผมเสียดายที่คนที่เข้าใจความคิดของเรา และเป็นคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกันมา ต้องตายไป แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะเรียกร้องก็คือในส่วนของกรมป่าไม้เอง ผมอยากจะเรียกร้องให้การตายของสืบนำไปสู่การแก้ไขปัญหาการอนุรักษ์สัตว์ป่าของกรมป่าไม้ นำไปสู่การแก้ไขระเบียบหรือนโยบายต่างๆ ที่ทำให้คนดีๆ ต้องสูญเสีย นำไปสู่การตั้งใจขึ้นของผู้ใหญ่ที่จะต้องให้ความสำคัญกับการรักษาป่ามากขึ้น นั่นคือข้อเรียกร้อง ในส่วนของขบวนอนุรักษ์แล้ว เรายอมรับว่าเราขาดกำลังสำคัญไปคนหนึ่ง แต่ก็คงไม่ทำให้เราท้อถอย กลับจะทำให้เรามุมานะมากขึ้นว่ามีคนคนหนึ่งกล้าที่จะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อชี้ให้คนรู้ว่าปัจจุบันยังมีจุดอ่อนในการอนุรักษ์อยู่ คิดว่าการตายของสืบนี้จะสร้างนักอนุรักษ์รุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาอีกเยอะทีเดียว ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าจะเป็นการเสริมพลังให้แก่ขบวนอนุรักษ์ของประเทศไทย