มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ชวนชมภาพยนต์ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้พิทักษ์ป่า จากจีนแผ่นดินใหญ่ ในภาพยนต์เรื่อง “The Mountain Patrol” ที่มีชื่อภาษาไทยว่า “หน่วยพิทักษ์เสียดฟ้า” เป็นภาพยนตร์จีนที่สร้างมาจากเหตุการณ์จริง ของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าในเขตเกอเกอซีลี (Kekexili) ในช่วงปี ค.ศ. 1993 – 1996 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากสารคดีเรื่อง Balance ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกนำเสนอออกมาอย่างสมจริงและมีเอกลักษณ์
ด้วยประเด็นที่แข็งแรงผสานกับการเล่าเรื่องที่ดี ส่งผลให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ส่งผ่านทั้งความรู้ แง่คิด และเกิดแรงกระตุ้นสู่ผู้ชมถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้ภาพยนต์ The Mountain Patrol ได้รับรางวัลในปี ค.ศ. 2004 ทั้งยังเป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลจีนตระหนักถึงปัญหาสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ โดยการนำละมั่งทิเบตมาเป็นหนึ่งในมาสคอร์ตของการแข่งขันโอลิมปิกในกรุงปักกิ่ง เมื่อปี 2008
โดยภาพยนต์ถ่ายทอดเรื่องราวของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ในเขตเกอเกอซีลี (Kekexili) พื้นที่แสนห่างไกลของจีน ในภารกิจอนุรักษ์ละมั่งทิเบต โดยมีหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่า นามว่า ลี่ไท เป็นแกนหลักในการนำทีมตามล่าหัวหน้านักล่าสัตว์ ตัวการหลักที่ทำให้ละมั่งทิเบตลดลงอย่างฮวบฮาบ ในระยะเวลาไม่กี่ปีละมั่งทิเบตกว่าล้านตัว เหลือไม่ถึงหนึ่งหมื่นตัว ทำให้ละมั่งทิเบตเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างยิ่ง ทั้งนี้ภายใต้การทำงานที่มีข้อจำกัดทั้งเรื่องกำลังคน สภาพอากาศ สภาพภูมิประเทศ และการไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐทำให้การทำงานในแต่ละครั้งเป็นไปอย่างยากลำบาก
นอกจากภารกิจการการวิ่งตามจับตัวคนทำผิดแล้ว ความหวังหนึ่งของ ลี่ไท และบรรดาผู้พิทักษ์ป่าแห่งนี้ คือการผลักดันให้เกอเกอซีลี มีสถานะเป็นพื้นที่อนุรักษ์ แม้จะพยายามอย่างหนักแต่ดูเหมือนว่าความหวังนั้นอาจดูลางเลือน จนกระทั่งการมาของ กายู นักข่าวหนุ่มจากปักกิ่ง ที่เข้ามาร่วมทีมกับหน่วยพิทักษ์ป่าแห่งนี้ ซึ่งนี่เองที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ!!
และนี่คือแกนหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ ส่วนเนื้อหาระหว่างทางที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดออกมา ก็มีหลากฉาก หลายสถานการณ์ ที่เรียกได้ว่า ดูแล้วต้อง “จุก” ไปตาม ๆ กัน
ขอพูดถึงตอนหนึ่ง ที่ผู้เขียนดูแล้ว มีความคิดแว๊ปหนึ่ง ที่นึกถึงหน่วยพิทักษ์ป่าของไทย ไมว่าจะเป็นหน่วยพิทักษ์ป่ายู่ยี่ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง หรือ หน่วยพิทักษ์ป่าลังกา ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก นั่นคือตอนที่ระหว่างทีมพิทักษ์ป่าขึ้นภูเขาเพื่อลาดตระเวน และได้แวะพักพร้อมทั้งส่งเสบียงให้กับศูนย์อนุรักษ์แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลท่ามกลางผืนทรายและภูเขาทะมึนสูงเสียดฟ้า การรับรู้เรื่องราวของโลกภายนอกมีเพียงวิทยุสื่อสารเท่านั้นที่จะทำหน้าที่นั้นได้
ฉากที่เจ้าหน้าที่ฯ ประจำศูนย์ ได้เจอกับเพื่อนพิทักษ์ป่าที่มาถึงแล้วทักทายกันอย่างดีใจ มันเหมือนกับบรรยากาศตอนที่ผู้เขียนได้ร่วมเดินทางไปกับทีมพิทักษ์ป่าเพื่อเข้าไปยังหน่วยพิทักษ์ป่าต่าง ๆ ในป่าลึก หรือแม้กระทั่งตอนที่พวกเขาอยู่ระหว่างการพักผ่อนก็มีเสียงหัวเราะร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าไม่เคยผ่านพบเรื่องราวอันหนักหน่วงที่เพิ่งพบเจอก่อนหน้านี้เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง
เมื่อรุ่งเช้าถึงเวลาต้องเดินทางต่อการเอ่ยคำลาจึงเกิดขึ้น เมื่อรถเคลื่อนตัวไกลออกจากศูนย์อนุรักษ์ฯ ภาพที่เห็น ยิ่งตอกย้ำความเหงา ความว่างเปล่าที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ 1 คน กับที่ทำการที่ทำขึ้นมาอย่างง่าย ๆ พอแค่พักอาศัย กันลมกันแดดได้
เจ้าหน้าที่คนเดียว อยู่ที่นี่ มา 3 ปี ดูแลพื้นที่กว้างใหญ่ กับการตัดสินใจและความรับผิดชอบที่ตามมา
หัวใจ ต้องทำด้วยอะไร!
ประเด็นที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้นำเสนอหลายฉากหลายตอน มีความคล้ายคลึงกับงานพิทักษ์ป่าบ้านเรา ไม่เพียงด้านกายภาพเท่านั้น แม้แต่ในด้านความรู้สึก ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถ่ายทอดออกมาได้เสียดแทงหัวใจไม่เบา เรียกได้ว่าหากผู้พิทักษ์ป่าตัวจริงเสียงจริงในบ้านเราได้ดู อาจต้องมีคนแอบคิดแน่นอนว่า… “เค้าเอาชีวิตเรามาทำหนังนี่หว่า”
ร่วมติดตามเรื่องราวของผู้พิทักษ์ป่าในภารกิจอนุรักษ์ละมั่งทิเบตได้ในภาพยนตร์ The Mountain Patrol หน่วยพิทักษ์เสียดฟ้า ผ่านทาง NETFLIX