กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดตั้ง ‘มูลนิธิผู้พิทักษ์ป่า’ เพื่อพัฒนาสวัสดิการและสวัสดิภาพเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าขึ้นแล้ว พร้อมเปิดศูนย์สายด่วน 1362 ซึ่งเป็นบูรณาการร่วมกันของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ไว้รับแจ้งเหตุตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสะดวกของประชาชนในการแจ้งเหตุเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นายภานุเดช เกิดมะลิ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้เล่าถึงก่อนที่จะมาเป็นมูลนิธิผู้พิทักษ์ป่าว่า “สืบเนื่องมาหลังจากการจัดตั้งมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ทางมูลนิธิสืบนาคะเสถียรได้สานต่อเจตนารมณ์ในเรื่องของการดูแลและช่วยเหลือผู้พิทักษ์ป่าต่อจากที่คุณสืบที่ได้พยายามที่จะทำไว้สมัยมีชีวิตอยู่ เลยมีการจัดตั้งกองทุนเพื่อผู้พิทักษ์ป่าภายใต้มูลนิธิสืบนาคะเสถียรขึ้น และในการทำงานส่วนหนึ่งของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร นั้นคือความพยายามที่จะผลักดันให้หน่วยงานราชการที่มีกลไกในการดูสวัสดิการและสวัสดิภาพให้กับเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่า เพราะว่ามูลนิธิสืบนาคะเสถียรเป็นองค์กรเอกชนที่สักวันหนึ่งก็หมดบทบาทและภารกิจในการที่จะทำงานไป”
ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ขานรับแนวคิดนี้ ประกอบกับในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาสาธารณะชนได้รู้จักผู้พิทักษ์ป่ามากขึ้น และพยายามส่งเสียงช่วยกันผลักดันให้เกิดกลไกในการดูแลเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ส่งผลให้ในปัจจุบัน ‘มูลนิธิเพื่อผู้พิทักษ์ป่า’ ได้จัดตั้งขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทางด้านมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันให้เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเข้าไปทำงานใกล้ชิดกับทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติในเรื่องของแนวคิดนโยบายต่างๆ รวมถึงการเข้าไปเป็นที่ปรึกษาและพาร์ทเนอร์ในการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ว่าถ้าจะต้องจัดตั้งมูลนิธิเพื่อผู้พิทักษ์ป่าจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง อีกทั้งเอาโมเดลและตัวอย่าง ‘กองทุนเพื่อผู้พิทักษ์ป่า’ ของมูลนิธิสืบนาคะเสถียรไปให้ทางมูลนิธิผู้พิทักษ์ป่าศึกษา เพื่อที่จะได้นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป ซึ่งการมีส่วนร่วมในครั้งนี้เป็นเรื่องที่มูลนิธิสืบยินดีมากที่ได้ร่วมสนับสนุนให้เกิดมูลนิธิผู้พิทักษ์ป่า เพราะเป็นภารกิจสำคัญที่ทางมูลนิธิสืบนาคะเสถียรอยากจะให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว
โดยมูลนิธิเพื่อผู้พิทักษ์ป่าเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนโดยไม่แสวงหาผลกำไรหรือว่าขึ้นตรงกับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งซึ่งการที่เปิดศูนย์มูลนิธิผู้พิทักษ์ป่าขึ้นเพื่อช่วยเหลือแก่หน่วยงานเจ้าหน้าที่รวมทั้งครอบครัวของผู้ปฏิบัติงานพิทักษ์ป่าตลอดจนบุคคลหรือองค์กรอื่นๆที่มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มีสวัสดิภาพในการปฏิบัติงานและดำรงชีวิตอย่างเหมาะสมรวมถึงการช่วยเหลือแก่หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน
มูลนิธิผู้พิทักษ์ป่ามีสำนักงานตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารศูนย์วิจัยและฝึกอบรม กรมอุทยานฯ ส่วนศูนย์สายด่วนผู้พิทักษ์ป่า 1362 สำนักงานตั้งอยู่ชั้น 2 อาคารปลอดประสพ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ฯ คอยรับโทรศัพท์แจ้งเหตุจากประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง
ซึ่งการจัดตั้งมูลนิธิผู้พิทักษ์ป่าขึ้นนั้น เป็นผลดีสำหรับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทยอีกด้วย เช่น ผู้พิทักษ์ป่ามีกำลังใจในการทำงาน และมีประสิทธิภาพในงานอนุรักษ์ผืนป่ามากขึ้น, มูลนิธิผู้พิทักษ์ป่าสามารถเป็นช่องทางเชื่อมให้เกิดเครือข่ายของผู้พิทักษ์ป่าในประเทศไทยได้รู้จักกัน อีกทั้งมีโอกาสในการไปเชื่อมกับเครือข่ายผู้พิทักษ์ป่านานาประเทศ, มีระบบสวัสดิการสวัสดิภาพที่ชัดเจนในการที่จะช่วยเหลือดูแลช่วยเหลือผู้ทักษ์ป่าเพิ่มขึ้นมา, ได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าประเทศไทยมีการพัฒนาในเรื่องของการดูแลสวัสดิการและสวัสดิภาพให้กับคนที่ทำงานดูแลรักษาป่า และสาธารณะชนสามารถได้รับรู้การทำงานและเข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าผ่านทางมูลนิธิผู้พิทักษ์ป่า เป็นต้น
คุณภานุเดช ได้ทิ้งท้าย ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับมูลนิธิผู้พิทักษ์ป่าด้วยว่า ปัจจุบันนี้กรรมการที่อยู่ในมูลนิธิเพื่อผู้พิทักษ์ป่าเกือบ 100% เป็นข้าราชการ ส่วนตัวมีความคิดเห็นว่าควรมีการปรับเปลี่ยนแก้ไข ต้องหาภาคีในการทำงานร่วมกัน เพราะเห็นกันอยู่ว่าระบบราชการมีความล่าช้าและติดขัดอะไรหลายๆ อย่าง
“ในเมื่อตั้งเป็นมูลนิธิแล้วก็ต้องมีความเป็นเอกชนความคล่องตัวต้องสูงทำแล้วเกิดประโยชน์และประสิทธิภาพในการดูแลจริงๆตอบสนองต่อการดูแลผืนป่าอย่างผู้พิทักษ์ป่าได้อย่างแท้จริง”
“ซึ่งในการทำงานส่วนหนึ่งอาจจะเป็นตัวแทนของข้าราชการ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นตัวแทนของผู้พิทักษ์ป่าที่เป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการตั้งมูลนิธิตรงนี้ จะได้เป็นปากเป็นเสียงแทนเจ้าหน้าที่หรือเพื่อนๆ ผู้พิทักษ์ป่า อีกส่วนหนึ่งน่าจะมีองค์กรพัฒนาเอกชน ทางมูลนิธิสืบนาคะเสถียรก็ขอเสนอตัว หากมูลนิธิผู้พิทักษ์ป่าจะเชิญเข้าไปเป็นกรรมการ หรือไม่อาจจะเป็นองค์กรอื่นๆ ที่น่าจะเข้าไปมีบทบาทร่วมกันในการที่จะพัฒนาช่วยกันดูแลหนุนเสริมให้มูลนิธิผู้พิทักษ์ป่าให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง แต่ว่าเมื่อไหร่ที่ข้าราชการ 100% เป็นกรรมการคงจะไม่หลุดจากระบบเดิม แล้วก็จะทำให้มูลนิธินี้ค่อย ๆ ตายไป เหมือนกับหลายๆ มูลนิธิที่ทราบว่าเคยมีการจัดตั้งมาก่อนหน้านี้แล้วเหมือนกัน”