เวที ‘ณ 12 ไมล์ทะเล’ ในงานเสวนา ‘สภาปลาเล็ก’ ถ้าไม่มาก็ไม่มีปลากินแล้วนะ ที่จัดโดย ‘มูลนิธิสืบนาคะเสถียร’ และเครือข่ายองค์กรอนุรักษ์ กลายเป็นพื้นที่บอกเล่าประสบการณ์การทำงานของ ‘นักดำน้ำอาสา’ ที่นำเรื่องราวนอกเขต 12 ไมค์ทะเล ขึ้นสู่ฝั่งมาขยายต่อให้ทุกคนได้ทราบความเป็นไป ถึงการพิสูจน์ผ่านด้วย ‘ภาพถ่าย’
ว่า ‘ทะเล’ ไม่ได้มีแค่ ‘ปลากะตัก’ แต่ยังมีสัตว์น้ำวัยอ่อนและสัตว์น้ำหายากอีกหลายชนิด ที่จะรับผลกระทบจากการ ‘อวนตาถี่ – แสงไฟ’ ในการจับปลาซึ่งเป็นผลสืบเนื่อง หากมีแก้ไขมาตรา 69 มาตรา 69 ในพระราชกำหนด การประมง เพื่ออนุญาตให้ใช้ ‘อวนมุ้ง’ (อวนตาถี่) ประกอบแสงไฟล่อจับปลากะตัก
ปลาตัวเล็ก กับคุณค่าเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่
‘นัท สุมนเตมีย์’ ช่างภาพสารคดี เปิดเผยถึงอุปสรรค และเรื่องราวระหว่างการถ่ายทำสารคดีชุดนี้ อย่างละเอียด สถานีการอธิบายภาพผลงานที่น่าสนใจ เพื่อขยายเบื้องลึกของท้องทะเล – สร้างความเข้าใจในนิเวศใต้น้ำให้กับผู้ที่ร่วมรับชม หนึ่งในนั้นคือภาพนิ่ง ‘ลูกปลาเก๋า’ ซึ่งหลายคนไม่เคยเห็น
“หลายๆ คนอาจไม่รู้จักปลาตัวนี้ตอนที่มันเป็นเด็กอยู่ แต่ผมเชื่อว่าเมื่อมันโตขึ้นมาแล้ว ทุกคนจะรู้จักปลาตัวนี้แน่นอน ถามว่าหากลูกปลาตัวนี้ถูกจับโดยอวนตาถี่ เมื่อถึงสายพานการผลิตอาจถูกโยนทิ้งไปอย่างไรค่า เพราะไม่มีใครทราบเลยว่าปลาตัวเล็กๆ นี้มีความสำคัญอะไร แต่หากเราปล่อยให้เขามีโอกาสเติบโต เขาจะกลายเป็นปลาเก๋าที่มีน้ำหนักได้สูงสุดถึง 100 กิโลกรัมเลยทีเดียว”
นอกจากนั้น นัทยังหยิบยกภาพของ ‘ลูกปลาหัวเสี้ยว’ และ ‘ลูกปลาตาหวาน’ ซึ่งดูเผินๆ ก็ไม่แตกต่างอะไรกับลูกปลาทั่วไป แต่สำหรับนิเวศใต้ทะเล ปลา 2 ชนิดนี้เมื่อโตเต็มวัย จะมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในฐานะของสิ่งมีชีวิต ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่กองหินด้วย – แนวปะการัง ในระยะยาวก็จะกลายเป็นปลาเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับชาวประมงต่อไป

กว่าจะเก๋า ลูกปลาเก๋าในสกุล Epinephelus ช่วงวัยเยาว์ที่ล่องลอยอยู่กลางทะเลนอกชายฝั่ง ก่อนที่จะกลับเข้ามาอาศัยอยู่ในแนวปะการังข้างชายเกาะหรือหินกองกลางทะเล ปลาเก๋าเป็นปลาเนื้อดีที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและมีราคาสูงชนิดหนึ่งของไทย แต่ถ้าถูกตัดวงจรการเติบโตจากอวนตาถี่กับแสงไฟล่อในยามค่ำคืน ก็จะกลายสภาพไปเป็นอาหารสัตว์ในราคาเพียงกิโลกรัมละไม่กี่บาท โดยคนที่คัดแยกปลาอาจมองผ่านไปเสียด้วยซ้ำ ว่านี่คือปลาเก๋าที่ค่าตัวตกกิโลกรัมละหลายร้อยบาท ถ้าเพียงให้โอกาสมันเติบโตขึ้น

ปลาเก๋าหรือปลากะรังลายจุด (Malabar grouper, Epiephelus malabricus) ขนาดใหญ่ เป็นปลาที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและมีความต้องการในตลาดที่สูงมาก โดยเฉพาะปลาที่จับจากธรรมชาติอาจมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 300-400 บาท และปลาเก๋าที่โตเต็มที่อาจจะมีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม
ความพยายามบอกเล่า ผ่านภาพถ่ายใต้ทะเลของนัท กลายเป็นเครื่องยืนยันถึงความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลไทยได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะหากร่วมตั้งข้อสังเกตถึงกฎหมายที่จะอนุญาตให้มีการใช้อวนตาถี่ อาจส่งผลต่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจ เพราะจะมีลูกปลาหลายชนิดถูกจับ
หลายตัวอาจกลายเป็นอาหารสัตว์แปรรูปทั้งๆ ที่สามารถเติบโตจนกลายเป็นปลาที่มีมูลค่ามากกว่าหลายเท่าตัว นี่จึงเป็นความชัดเจนถึงผลกระทบที่ทั้งท้องทะเล และชาวประมงจะได้รับ หากมีการจับสัตว์น้ำที่ไม่ได้ขนาด
Blackwater ดำดิ่งลึก
‘วัชระ กาญจนสุต’ ครูสอนดำน้ำ ที่ร่วมกิจกรรมกับทีมช่างภาพสารคดี เล่าให้ฟังถึงอุปสรรคและปัญหา รวมถึงความตื่นเต้นขณะที่ต้องดำน้ำในจุดที่กำหนด ซึ่งความยากของการดำน้ำใน ‘ทะเล’ ตอนกลางคืน คือการขึ้นลงเรือ ซึ่งการดำแบบ Blackwater Diving คือการปล่อยทุ่นไฟแล้วก็ลอยไปกับกระแสน้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นคือลมไปทางน้ำไปทาง นักดำน้ำจะลอยไปกับกระแสน้ำแต่เรือจะไปกับลม ซึ่งเป็นอะไรที่ใช้กำลังมา
ส่วนตัวได้อาสาลงน้ำลึกในระดับ 30 เมตร (ช่างภาพคนอื่นลงไปในระดับความลึกที่ 20 เมตร) เพราะสงสัยว่าด้านล่างซึ่งเป็น ‘ซั้งปลา’ มีอะไรอยู่บ้าง พอดำลงไปจึงได้พบกับฝูงลูกปลาจำนวนมาก ที่อาศัยอยู่ตามซากใบมะพร้าวเพื่อหลบภัย
“เราได้เห็นลูกปลาตัวเล็กๆ จำนวนมากเข้ามาหลบปลาผู้ล่าที่มีจำนวนเยอะกว่า มันจึงทำให้ได้เห็นว่า จุดที่พวกเขาวางดักปลาไว้ มันเกิดพฤติกรรมที่จะส่งผลต่อโซ่อาหาร และกลายเป็นข้อกังวลของพวกเรา”
วัชระ อธิบายว่า ประสบการณ์การดำน้ำร่วม 20 ปี ท้องทะเลไทยไม่ว่าจะอ่าวไทยหรืออันดามัน ล้วนมีสิ่งมีชีวิตหายากมากมาย หลายตัวยังไม่ได้เป็นที่รู้จัก หรือถูกพูดถึงในงานวิชาการ โดยครูดำน้ำได้ยกสิ่งมีชีวิต 3 ตัว มาบอกเล่าที่ได้พบเจอ ถือเป็นเครื่องยืนยันความหลากหลายทางชีวภาพของท้องทะเลไทย จากมุมมองของนักดำน้ำมืออาชีพอย่างชัดเจน
“ถึงบอกว่าโลกใต้ทะเลของ Blackwater ที่ 12 ไมล์ทะเล ผมบอกได้เลยว่ามันประหลาดทุกสิ่งอย่างที่้เราเจอ มันไม่ได้มีแค่ปลาเศรษฐกิจ คนเข้าใจว่าเอามาทำน้ำปลาหรืออาหารสัตว์เท่านั้น สุดท้ายผมพบว่ากลางทะเลเปิดทั้งหมด มันคือวงจรและวัฏจักรของสิ่งมีชีวิตทั้งนอกแนวปะการังและแนวปะการัง” วัชระ กล่าว
ทะเลไทย กับปัญหาระดับ ‘Elephant in the room’ และสัญญาณจากโลมา
‘ดร.เพชร มโนปวิตร’ ที่ปรึกษาอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ด้านพื้นที่คุ้มครองทางทะเล) นักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมอยู่ในองคาพยพ ได้ให้มุมมองว่า สิ่งที่กลุ่มช่างภาพอาสาทำ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะหากพูดถึงเรื่องทะเล เราเหมือนอยู่คนละโลก
ในเชิงวิทยาศาสตร์ทางทะเล มีการจัดทำเรื่องการศึกษาพื้นที่คุ้มครอง แต่สิ่งที่ถูกแยกส่วนไปตลอดก็คือเรื่อง ‘การประมง’ ลักษณะคล้ายคลึง ‘Elephant in the room’ เพราะเราได้เห็นพัฒนาการความพยายามการอนุรักษ์ของ ‘กลุ่มประมงพื้นบ้าน’ ขณะเดียวกันก็เห็น ‘ประมงพาณิชย์’ ยังมีปัญหาหลายด้าน แต่ก็มีการจัดระเบียบร่วมกันเสมอ แต่กรณีการจะแก้ไขกฎหมายมาตรา 69 ทำให้ทุกอย่างดูถอยหลังลง
ดร.เพชร ยังให้มุมมองว่า การอนุรักษ์ทางทะเลมีความแตกต่างกับการอนุรักษ์พื้นที่ทางบก โดยเฉพาะเรื่องขอบเขตของพื้นที่ที่ไม่ได้ชัดเจน ซึ่งปัจจุบันก็ยังพบว่ามีปัญหาอยู่เยอะ
“การใช้แสงไฟเพื่อจับปลาเป็น common sense ที่ทุกคนรู้ ว่าจะดึงดูดสัตว์น้ำและลูกสัตว์น้ำ ดังนั้นการแก้ไขมาตรา 69 อาจเป็นการเปิดช่องให้มีการใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูง ดังนั้นภารกิจการถ่ายทำสารคดีครั้งนี้ ผมจึงมองในทางดีใจว่าทุกคนร่วมมือลงแรงกันโดยใช้ทักษะของตัวเองในการที่จะสื่อสารเรื่องนี้ออกไป”
ขณะเดียวกันการได้มีส่วนร่วมกับคณะทำงานชุดนี้ ก็รู้สึกว่า ในทุกๆ ภาคส่วนควรร่วมมือทำงานกัน ในการฟื้นฟูดูแลให้ทะเลกลับมาสมบูรณ์ ไม่ว่า หน่วยงานราชการ ประมงพื้นบ้าน ประมงพาณิชย์ นักวิทยาศาสตร์ และนักอนุรักษ์ ทุกคนล้วนได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสิ้น ซึ่งทะเลไทยถือเป็นทะเลที่มีความสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่ง อย่างตอนขึ้นเรือก็มีโลมาแวะมาทักทาย นึกว่าอยู่ในฉากหนัง หากมองในมุมดราม่าก็อาจเป็นสัญญะว่าโลมากำลังนำสารมาบอก (หัวเราะ) แต่ในมุมวิทยาศาสตร์ การใช้แสงไฟล่อแบบนี้ย่อมทำให้ลูกปลาเข้ามา ซึ่งโลมาก็เข้ามาหากินอีกทีนึง
“มันยิ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้แสงไฟล่อ ไม่ได้มีประสิทธิภาพเฉพาะแค่ปลาเล็กปลาน้อย แต่มันจะกระทบกับวงจรห่วงโซ่อาหารทั้งหมด หากใช้อวนล้อมโลมาอาจเข้าไปติดอยู่ภายในด้วย” เพชร กล่าว
‘ศุภชัย วีรยุทธานนท์’ ช่างภาพสารคดี รับหน้าที่ให้บันทึกวีดีโอและภาพนิ่ง เล่าสิ่งที่เห็นใต้พื้นน้ำให้ฟังว่า ในระหว่างดำน้ำ เขาพยายามว่ายตระเวนเก็บฟุตเทจในทุกๆ มิติที่พบเห็น โดยไม่เลือกว่ามีชีวิตดังกล่าวจะเป็นสัตว์น้ำหายากหรือสวยงามแค่ไหน เพราะแกนหลักของการทำสารคดีชิ้นนี้ คือการนำมาต่อยอดในงานเชิงอนุรักษ์ การเก็บสิ่งที่พบเห็นซึ่งเต็มไปด้วยองค์ประกอบของระบบนิเวศที่หลากหลาย เป็นเครื่องยืนยันชัดเจน ความสมบูรณ์ของท้องทะเลไทยที่พบเห็น
นอกจากนี้ เขายังได้บันทึกภาพจากโดรน ขณะที่ ‘โลมา’ ว่ายวนเวียนเข้ามาอยู่ด้านข้างของเรือปั่นไฟด้วย โดยมี ‘หัสชัย บุญเนือง’ ช่างภาพสารคดีอีกคนคอยช่วย ‘ชี้เป้า’ โดย หัสชัย (ในขณะนั้น) ได้กล่าวความรู้สึกออกไปอย่างขบขันว่า การที่มีโลมาปรากฏอยู่ข้างลำเรือ ทำให้ทีมงานรู้สึกว่าเหมือนมี ‘เพื่อน’ ที่คอยส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง ซึ่งสอดคล้องกับมุมคิดของ ‘ดร.เพชร’ ก่อนหน้านี้
“โลมามันก็อาจไม่เห็นด้วยกับการใช้ไฟล่อ แต่มันก็อาจจะเห็นด้วย เพราะแม้งกินง่ายเพลินดี เหมือนนกนางนวลบางปูหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่ข้อสำคัญคือ เรารู้ว่าโลมามันมากินสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ถูกล่อมาโดยแสงไฟ ถ้าล้อมด้วยอวนตาถี่โลมาเหล่านี้อาจถูกติดไปด้วย”
