แต่ไหนแต่ไร เราคุ้นเคยกันว่าการดูแลพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ หรือบ้างเรียกว่าป่ากันชน (Buffer Zone) เป็นหน้าที่ของกรมป่าไม้ หรือหากกล่าวให้เฉพาะเจาะจงลงในมิติของพื้นที่ ย่อมหมายถึงเป็นหน้าที่ของหน่วยป้องกันรักษาป่าในพื้นที่นั้นๆ
แต่หากมองถึงบริบทพื้นที่ในปัจจุบัน ที่ผืนป่าส่วนใหญ่กระจัดกระจายเป็นหย่อมเล็กหย่อมน้อย ในพื้นที่กว้างขวาง กับกำลังคนที่เพียงหยิบมือก็คงไม่ใช่งานที่ง่ายนักของหน่วยงานขนาดเล็กๆ เพียงหน่วยเดียว หรือหากมองถึงมิติการจัดการที่มุ่งเพียงภารกิจด้านการปราบปราม การดูแลป่าที่เหลืออยู่ก็คงยากจะสำเร็จได้ตลอดรอดฝั่ง
ด้วยความหวังในการรักษาป่ากันชนที่มีความสำคัญไม่ต่างไปจากการทำงานในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ การสนับสนุนให้เกิดการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรดูจะเป็นทางออกที่ยั่งยืนกว่าการทำงานเพียงลำพัง
โดยเฉพาะการทำงานอย่างมีส่วนร่วมกับชุมชน ให้ชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เปิดโอกาสให้ชุมชนได้วางแผนการใช้ประโยชน์ และช่วยกำกับควบคุมการใช้ประโยชน์ เมื่อชุมชนได้รับประโยชน์จากป่าที่พวกเขาได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ และรู้สึกเป็นเจ้าของป่าร่วม ประสิทธิภาพของการดูแลรักษาป่าก็จะมีโอกาสเพิ่มพูนขึ้นมากกว่าเก่า
เรื่องนี้มีตัวอย่างที่ได้รับการถอดบทเรียนความสำเร็จออกมาแล้ว ในผืนป่าตะวันตก ณ ป่ากันชนที่ไม่ห่างจากห้วยขาแข้ง
เมื่อหน่วยป้องกันรักษาป่าแห่งหนึ่ง หันหน้ามาทำงานร่วมกับชุมชน พร้อมดึงหน่วยงานต่างๆ มาเป็นพันธมิตรในการทำงาน ต้นแบบการจัดการอย่างมีส่วนร่วมจึงเกิดขึ้นและวันนี้กำลังขยายผลไปยังหน่วยป้องกันรักษาป่าอื่นๆ
บริบทและการทำงานของหน่วยป้องกันป่าไม้ในอดีต
ในอดีต หน่วยป้องกันรักษาป่ามีภารกิจปราบปรามการกระทำผิดว่าด้วยกฎหมายการป่าไม้ในพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งเป็นพื้นที่นอกป่าอนุรักษ์ ทั้งที่เป็นป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่ทั่วไป ทั้งที่มีสภาพป่าและไม่มีสภาพป่า
หน่วยป้องกันรักษาป่าแต่ละหน่วยจะมีขนาดพื้นที่รับผิดชอบกว้างใหญ่ ทว่าบุคลลากรประจำหน่วยฯ มีเพียงข้าราชการหนึ่งคน กับพนักงานราชการ และพนักงานจ้างเหมา ประมาณ 9 – 10 คนต่อหน่วยฯ ประกอบกับพื้นที่ป่าคงสภาพป่าในความรับผิดชอบส่วนใหญ่เป็นป่าหย่อมเล็กหย่อมน้อยกระจายทั่วพื้นที่ ทำให้การลาดตระเวนป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดไม่ครอบคลุมเท่าใดนัก จึงเป็นช่องโหว่ในการกระทำผิดได้ง่าย
นอกจากนั้น การปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิด ก็มีส่วนทำให้ชุมชนเกิดวามรู้สึกในทางลบต่อเจ้าหน้าที่ จนบ่อยครั้งกลายเป็นความขัดแย้ง ส่งผลให้ไม่สามารถดูแลทรัพยากรป่าไม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ศศิน เฉลิมลาภ กรรมการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เคยให้ความเห็นในประเด็นนี้ไว้ว่า หน่วยป้องกันรักษาป่ายังขาดมิติในเรื่องการจัดการพื้นที่ เช่น การจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่เหลืออยู่ เรื่องการใช้ประโยชน์จากป่าของชุมชน การจัดสรรที่ดินให้ชาวบ้าน การปลูกป่าเศรษฐกิจ งานความขัดแย้งของชาวบ้านกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งเรื่องเหล่านี้กรมป่าไม้ยังไม่เคยปรับภารกิจและโครงสร้างให้เกิดการทำงาน
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาพบว่า หน่วยป้องกันรักษาป่าบางแห่งได้เริ่มปรับแนวทางการทำงาน ที่เพิ่มมิติการมีส่วนร่วมเข้าทำงานเพื่อลดข้อจำกัดเรื่องจำนวนบุคลากร ตลอดจนมิติการทำงานที่ไม่ได้อยู่ในกรอบของงานป้องกันเพียงด้านเดียว โดยเฉพาะการให้ชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้
เพราะเมื่อชุมชนได้รับประโยชน์จากป่าที่พวกเขาได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ และรู้สึกเป็นเจ้าของป่าร่วมกัน ย่อมนำไปสู่การบริหารจัดการพื้นที่ป่าอย่างมีประสิทธิภาพ
และตัวอย่างดังกล่าวได้ถูกพิสูจน์ผ่านการลงมือทำแล้วที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ นว.1 (แม่กะสี)
โมเดลหน่วยป้องกันรักษาป่าต้นแบบ นว.1 (แม่กะสี)
หน่วยป้องกันรักษาป่า นว.1 (แม่กะสี) นับเป็นหน่วยป้องกันรักษาป่าหน่วยแรกของจังหวัดนครสวรรค์ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2518 ที่หมู่ 7 ตำบลแม่เปิด อำเภอแม่เปิน มีพื้นที่รับผิดชอบทั้งที่เป็นป่าสงวนแห่งชาติ และนอกป่าสงวนฯ นอกพื้นที่อนุรักษ์ 310,743 ไร่ แต่มีป่าคงสภาพอยู่ 45,811 ไร่ หรือคิดเป็น 15 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่รับผิดชอบ และยังกระจัดกระจายเป็นหย่อมเล็กหย่อมน้อย นับรวมได้กว่า 30 หย่อม
แต่เดิมภารกิจของหน่วยป้องกันรักษาป่า นว.1 (แม่กะสี) ไม่ต่างจากหน่วยฯ อื่นๆ ที่เน้นการปฏิบัติงานปราบปรามกระทำผิด เช่น เรื่องการทำไม้ การบุกรุกพื้นที่ และการเก็บหาของป่าเป็นหลัก อาศัยการบังคับใช้กฎหมายเข้าปราบปรามหวังให้ผู้คิดกระทำความผิดเกิดความเกรงกลัว
ขณะเดียวกัน ด้วยทัศนคติว่า การดูแลรักษาป่าเป็นหน้าที่หน่วยงานเดียว ไม่เปิดรับหน่วยงานหรือองค์กรอื่นเข้ามาทำงานอย่างมีร่วมส่วนในอดีต จึงทำให้ขาดพันธมิตรในการทำงาน แม้เจ้าหน้าที่จะทำงานอย่างเต็มที่ แต่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดด้านป่าไม้ก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด
กระทั่งได้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในหน่วยงาน เริ่มที่เจ้าหน้าที่ของหน่วยฯ ได้ปรับมุมคิดมองว่าป่าเป็นของทุกคน และเปิดรับพันธมิตรเข้ามาร่วมงาน หาได้ทำงานเพียงยึดถือว่าเป็นหน้าที่ของกรมป่าไม้ หรือหน่วยป้องกันรักษาเพียงเท่านั้น แต่ควรเป็นการทำงานร่วมกัน ทั้งจากหน่วยงานของภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชนก็ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่าเอาไว้
โดยแนวคิดการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ประชาชน และเอกชน ต่อมาถูกเรียกว่า ‘ทฤษฎีสามก่อนเส้า’ มี เธียรวิชญ์ มูสิกะวงศ์ อดีตหัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่า นว.1 (แม่กะสี) เป็นหัวแรงสำคัญในการขับเคลื่อนการทำงาน
เธียรวิชญ์ อธิบายวิธีการทำงานแบบสามก้อนเส้าไว้ว่า “เวลาเอาก้อนหินมาทำก้อนเส้ามันไม่เท่ากันหรอก เพราะขนาดมันต่างกัน จะก่อไฟให้ติดเราจะต้องหันเหลี่ยมที่เท่าๆ กันเข้าหากัน เพื่อให้ได้ความสูงที่มีระดับเดียวกัน มิเช่นนั้นจะไม่สามารถวางหม้อได้ หากเปรียบกับการทำงานขององค์กร องค์กรไหนมันใหญ่ก็ต้องลดบทบาทตัวเองลง ลำดับถัดมาเวลาเราก่อไฟจากหินก่อนเส้า ถ้ามันชิดกันเกินไปไฟมันก็จะไม่ติด หรือสักแปปขี้เถ้ามันก็จะอุดตันต้องเปิดช่องว่างเอาอากาศเข้าหน่อย ถ้าห่างไปก็ตั้งหม้อไม่ได้ หลักการสามก้อนเส้านี้มันก็เหมือนกับการทำงานของเราสามองค์กร ซึ่งต้องมีระยะห่างที่เหมาะสม และหันเหลี่ยมเข้าหากันในการทำงาน”
ตัวอย่างการทำงานแบบ ‘ทฤษฎีสามก่อนเส้า’ แบ่งบทบาทเป็นกรอบกว้างๆ ประกอบด้วย (1) หน่วยป้องกันรักษาป่า เริ่มต้นจากการปรับทัศนคติการทำงานของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน ที่เดิมคนทั่วไปมองว่าป่าไม้เป็นของเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่ก็มองว่าตนเป็นเจ้าของทรัพยากร จึงต้องปรับลดทัศนคติตรงนี้ลง เปลี่ยนจากปราบปรามอย่างเด็ดขาดมาเป็นการกำกับดูแลให้การใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่างเหมาะสม
(2) ชุมชนราษฎรในพื้นที่ โดยให้บทบาทของชุมชนในการร่วมวางแผน การจัดการ ตลอดจนการตัดสินใจ เป็นกระบวนกรที่ทำให้การดำเนินงานเกิดความมีส่วนร่วมได้จริง ผ่านกิจกรรมต่างๆ ช่วยพิสูจน์การทำงานของกันและกัน การให้สิทธิการเป็นเจ้าของในทรัพยากรเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างความรักหวงแหนในทรัพยากร และดึงคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลทรัพยากร
(3) หน่วยงานเอกชน ซึ่งเป็นส่วนที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียรได้เข้าไปมีบทบาทการทำงานร่วม ที่อาศัยทักษะการสื่อสาร ความพร้อมในการรับฟังที่ทำให้การทำงานกับชุมชนเกิดความไว้วางใจกัน ขณะเดียวกันต้องมีความรู้ความเข้าใจด้านทรัพยากร ระเบียบ กฎหมาย เพื่อช่วยให้ทำงานกับเจ้าหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม และเสมือนเป็นพี่เลี้ยงในการสนับสนุนความรู้ การประสานงานเพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ รวมถึงการเป็นตัวกลางในการสื่อสารเพื่อบรรเทาความขัดแย้ง ตลอดจนการสนับสนุนเรื่องงบประมาณ
ตัวอย่างกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น การลาดตระเวนร่วมกับชุมชน โดยเจ้าหน้าที่และคณะกรรมการป่าชุมชม เพราะดังที่กล่าวไปว่าหน่วยป้องกันรักษาป่ามีเจ้าหน้าเพียงแค่หยิบมือ คงไม่สามารถดูแลป่าได้อย่างทั่วถึงทั้งหมด แต่การมีชุมชนเข้ามาเป็นแนวร่วมจึงเสมือนเป็นกำลังสำคัญเพิ่มขึ้นอีกแรง รวมถึงการขยายการทำงานร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ที่มีอาณาเขตพื้นที่ดูแลติดต่อกัน ก็นับเป็นมิติการบูรณาการงานร่วมกัน ทำให้การดูแลรักษาป่ามีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
หรือตัวอย่างในการจัดการฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบและโปร่งใส ซึ่งเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติงานในพื้นที่ การมีฐานข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับร่วมกันกับชุมชน ถือเป็นเครื่องมือในการวางแผนการจัดการ ทราบขอบเขตการทำงาน แม้กระทั่งการบังคับใช้กฎหมายก็จะเกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้
รูปธรรมที่เห็นชัดที่สุดของการทำงาน คือ สถิติตัวเลขคดีความที่ลดลงอย่างชัดเจน ทั้งเรื่องการตรวจยึดคืนพื้นที่ หรือปริมาตรไม้ของกลางที่ตรวจยึดได้
อย่างไรก็ดี ความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากหน่วยงานต้นสังกัดอย่างกรมป่าไม้ ไม่กำหนดกรอบการปฏิบัติงานตามนโยบายที่ชัดเจนในด้านนี้ออกมา และเป็นโชคที่ดีปี พ.ศ. 2563 กรมป่าไม้ได้เปลี่ยนแปลงการบริการจัดการ โดยเฉพาะด้านมีการส่วนร่วม เพื่อดึงให้ชุมชนเข้ามาทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ หันมาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน ซึ่งได้มีคำสั่งกรมป่าไม้ที่ 2512/2563 ลงวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เรื่อง การแบ่งงานภายในสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 – 13 และสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ (สาขา) ให้หน่วยป้องกันรักษาป่า มีหน้าที่ความรับผิดชอบ มีภารกิจการดำเนินงานให้ชัดเจน ซึ่งถือเป็นอีกขั้นความสำเร็จของการปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานของกรมป่าไม้เองด้วย
ศศิน เฉลิมลาภ ให้ความเห็นว่า วันนี้กรมป่าไม้มาถูกทางแล้ว การทำงานร่วมกับชุมชนทั้งในเรื่องของที่ดินทำกินเพื่อในอนาคตจะต้องมาส่งเสริมการปลูกป่าเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว การที่มีหน่วยพัฒนาที่แข็งแรง และมีความพร้อมในการทำงาน อันนี้เป็นหน่วยพื้นฐานที่สุด ที่จะทำให้ประเทศไทยบรรลุวัตถุประสงค์ของการเพิ่มพื้นที่ป่าและป่าเศรษฐกิจ ประชาชนเองก็มีพื้นฐานที่ดีจากผลผลิตจากป่า
ส่งต่อโมเดลสู่พื้นที่อื่นๆ
จากความสำเร็จของหน่วยป้องกันรักษาป่า นว.1 (แม่กะสี) ที่กลายเป็นโมเดลต้นแบบการทำงานอย่างมีส่วนร่วม มูลนิธิสืบนาคะเสถียรเห็นว่าหากสามารถพัฒนาเพิ่มศักยภาพหน่วยป้องกันรักษาป่าอื่นๆ ให้สามารถทำงานดังเช่นหน่วยที่ถูกยกเป็นต้นแบบจะเป็นผลดีต่อทรัพยากร ในปีผ่านมาจึงได้จัดทำโครงการพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าต้นแบบ และพัฒนาแผนการจัดการหน่วยป้องกันรักษาป่าต้นแบบขึ้น
โดยในกิจกรรมแรกได้ฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าต้นแบบ ให้กับหัวหน้าหน่วยและเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยป้องกันรักษาป่า จำนวน 24 หน่วย ทั่วประเทศ จำนวน 48 นาย เพื่อพัฒนารูปแบบการปฏิบัติงานของหน่วยป้องกันป่าไม้ในอนาคต ในด้านแนวทางการบริหารจัดการหน่วยป้องกันป่าไม้ การเพิ่มศักยภาพหน่วยป้องกันรักษาป่าไม้ในระดับพื้นที่ ชวนกันไปศึกษาดูงานการบริหารจัดการของหน่วยป้องกันรักษาป่า นว.1 ในภาพรวมการบริหารจัดการหน่วย การจัดการและการป้องกันรักษาป่า ในมิติการลาดตระเวน การใช้เทคโนโลยีในการดูแลรักษาป่า การส่งเสริมและพัฒนาป่าไม้มิติ งานป่าชุมชน ตลอดจนการดูแลการจัดการป่าไม้ร่วมกับป่าชุมชน
และตามมาด้วย โครงการพัฒนาแผนการจัดการหน่วยป้องกันรักษาป่าต้นแบบ ทั้งหมด 5 แห่ง ประกอบด้วย หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.5 (ซองกาเลีย) หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ อน.2 (บ้าน กม.53) หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ นว.1 แม่กะสี หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กพ.3 (ไตรตรึงษ์) และหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กพ.4 (เพชรนิยม)
กิจกรรมในส่วนนี้เป็นการร่วมกันออกแบบวิสัยทัศน์ พันธกิจ และวางยุทธศาสตร์ ถึงภารกิจการดำเนินงานของแต่ละหน่วยฯ ในอนาคต จะดำเนินการในด้านใดบ้าง แต่ละยุทธศาสตร์มีแผนการอะไร การออกแบบรูปแบบการบริหารจัดการภายในหน่วยให้ตรงกับกำลังพลและภารกิจงานที่ต้องทำ
และในการกำหนดยุทธศาสตร์ นอกจากทำให้เป็นไปตามแนวทางที่สอดคล้องกับนโยบายสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่เป็นหน่วยงานต้นสังกัดแล้ว ยังต้องออกแบบให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ สถานภาพสถานการณ์ต่างๆ การใช้ทรัพยากรของชุมชน เพื่อให้ได้แผนการทำงานที่เหมาะสมกับพื้นที่นั้นๆ ออกมา
สำหรับปี 2568 มูลนิธิสืบฯ ยังคงสานต่อภารกิจอบรมพัฒนาศักยภาพหน่วยป้องกันรักษาป่าต้นแบบ ซึ่งเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2568 ในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับ กรมป่าไม้ ในบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการดำเนินกิจกรรมพัฒนาบริหารพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในผืนป่าตะวันตก เนื้อหาสำคัญข้อหนึ่งในป้าหมายและแนวทางดำเนินงาน ระบุถึงงานพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ ด้วยการจัดตั้งหน่วยป้องกันรักษาป่าต้นแบบ
โดยแผนดำเนินงาน พ.ศ. 2568 เป็นการพัฒนาต่อยอดการทำงานร่วมกับรหน่วยป้องกันรักษาป่าทั้ง 5 แห่ง ที่ได้อบรมไปในปีที่แล้ว มาเพิ่มพูนรายละเอียดการทำงานเข้าไปอีกขั้น ซึ่งระหว่างนี้อยู่ระหว่างการพัฒนากิจกรรมของโครงการ และจะเริ่มดำเนินกิจกรรมในไตรมาสแรกของปี
ผู้เขียน
ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม