เดิมที่ พ.ศ. 2583 เป็น พ.ศ. 2573 โดนมีเป้าหมายเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยานพานะไฟฟ้าเพื่อลงสู่ท้องถนนอังกฤษให้เร็วที่สุด
มีการคาดว่า Boris Johnson นายกรัฐมนตรีอังกฤษจะสามารถเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยานพาหนะไฟฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงนี้ด้วยประกาศดังกล่าวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายพลังงานสะอาดฉบับใหม่เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากผลกระทบของโควิด-19
แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมพลังงานและการขนส่งระบุว่า รัฐบาลเตรียมผลักดันแผนการดังกล่าวภายในต้นสัปดาห์หน้า แต่อาจมีการประกาศอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีเนื่องจากตอนนี้ต้องให้ความสำคัญกับการจัดการกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้น
รัฐบาลอังกฤษได้เปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นที่จะเลื่อนเส้นตายของการห้ามจำหน่ายรถยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิลจาก พ.ศ. 2573 เป็น พ.ศ. 2568 เมื่อไม่นานมานี้ แต่ประกาศล่าสุดแสดงถึงความต้องการยกระดับความมุ่งมั่น และยังแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า
การตัดสินใจยุติการจำหน่ายยานพาหนะที่ใช้น้ำมันและดีเซลภายใน พ.ศ. 2573 ซึ่งจะทำให้อังกฤษบังคับใช้แผนดังกล่าวก่อนฝรั่งเศสที่วางแผนห้ามใช้ยานพาหนะเชื้อเพลิงฟอสซิลในปี พ.ศ. 2583 พร้อมกับเยอรมัน ไอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ส่วนนอร์เวย์วางแผนห้ามใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2568
แผนการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากคณะที่ปรึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นส่วนหนึ่งของแผนระดับชาติที่ต้องการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรให้เป็นกลางทางคาร์บอนภายในกลางคริตศตวรรษนี้
ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าผลการศึกษาเบื้องต้นด้านพลังงานซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีผลผูกพันทางกฎหมายในการบรรลุเป้าหมายคาร์บอนเท่ากับศูนย์ภายใน พ.ศ. 2593 ที่นอกจากจะรวมเอาเป้าหมายการเปลี่ยนยานพาหนะเป็นยานพาหนะไฟฟ้าทั้งหมด ยังรวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมไฮโดรเจนสะอาด และตัดการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากที่อยู่อาศัยและอุตสาหกรรมหนัก
อย่างไรก็ดี การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวอาจนำไปสู่การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ชนาดเล็ก ขณะที่ Matthew Pennycook ได้ทวงถามคำสัญญาของพรรคแรงงานก่อนการเลือกตั้งที่ระบุว่าจะห้ามขายรถยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิลภายในปี พ.ศ. 2573 ซึ่งเขามองว่า “ยากแต่เป็นไปได้” เป้าหมายดังกล่าวยังเป็นการฟื้นอุตสาหกรรมยานยนต์ในสหราชอาณาจักรพร้อมกับการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเปลี่ยนอากาศในเมืองให้สะอาดขึ้น
Graeme Cooper ผู้อำนวยโครงการยานพาหนะไฟฟ้า ขององค์กริดไฟฟ้าแห่งชาติให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว told the Guardian ว่าไม่มีความกังวลเกี่ยวกับความสามารถของกริดในการรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้นจากยานพาหนะไฟฟ้า และเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนผ่านให้เร็วขึ้นมีความเป็นไปได้
องค์กรกริดไฟฟ้าแห่งชาติคาดว่าการเปลี่ยนรถยนต์บนท้องถนนทั้งหมดอาจจำเป็นต้องใช้พลังงานมากกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าปัจจุบันราว 30 เปอร์เซ็นต์ หรือราว 3,000 เทราวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งเป็นกำลังการผลิตที่กริดไฟฟ้ายังสามารถรองรับได้ แต่สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังคือการเปลี่ยนช่วงเวลาพีกของการใช้ไฟฟ้า ที่อาจพุ่งสูงขึ้นในช่วงเย็นที่บ้านทุกหลังชาร์จรถยนต์พร้อมกัน
ถอดความและเรียบเรียงจาก UK plans to bring forward ban on fossil fuel vehicles to 2030
ผู้เขียน
บัณฑิตการเงินและการบัญชีที่สนใจความเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม หมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่าน เขียน เรียนคอร์สออนไลน์ และเลี้ยงลูกชายวัยกำลังน่ารัก