“เราจะสูญเสียทุกอย่าง เราไม่ได้ล้อเล่น เราไม่ได้โกหก เราไม่ได้พูดเกินจริง” – ปีเตอร์ คาลมุส
.
บ่อยครั้งที่คำพูดของนักวิทยาศาสตร์มักถูกละเลยจากสังคม
เพียงเพราะขึ้นชื่อว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ ? หรือเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ฟังดูน่าเหลือเชื่อเกินไป ?
โดยเฉพาะประเด็นวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ถูกย้ำหนักย้ำหนาว่าถึงเวลาแล้วที่มนุษยชาติต้องลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลง ไม่เช่นนั้นชีวิตของพวกเราจะพาลพบกับความผิดปกติ
แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจใยดี และนำไปปฏิบัติมากนัก
มิหนำซ้ำบางครั้ง ยังมีหน่วยงานมาคัดกรองเรื่องราวและกระทำการบางอย่างเพื่อปกปิดข้อมูลเหล่านั้น – ทำนองเดียวกับ (เรื่องสมมติ – ?) ที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่อง Don’t Look Up
หรือทุกวันนี้เพียงแค่พูดหรือเขียนรายงานอาจยังไม่พอ ?
หลายวันก่อน (7 เมษายน 2022) นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศจำนวนหนึ่งได้รวมตัวกันมาประท้วงที่ธนาคารใหญ่ Chase Bank
พวกเขาตะโกนก้องด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่าอนาคตของโลกกำลังย่ำแย่เพียงใด
ก่อนนักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดจะถูกจับตัว พื้นที่ถูกเคลียร์กลับสู่สถานะปกติ และโลกของเรายังคงปล่อยเชื้อเพลิงฟอสซิลขึ้นสุ่ชั้นบรรยากาศเหมือนเดิม
เว้นแต่น้ำเสียงของ ‘ปีเตอร์ คาลมุส’ หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมประท้วงในวันนั้น ยังดังก้องต่อมาถึงวันนี้
คลิปวีดีโอขณะที่ ‘ปีเตอร์ คาลมุส’ ตะโกนร้องบอกกับสังคมกลายเป็นไวรัลที่ถูกแชร์บนโลกอินเทอร์นานนับสัปดาห์
‘ปีเตอร์ คาลมุส’ คือใคร ทำไมน้ำเสียงของเขาถึงก้องกังวาน และจุดประเด็นวิกฤตโลกร้อนสำเร็จขึ้นอีกครั้ง
…
สำหรับคนที่ติดตามข่าวสารด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ชื่อของ ‘ปีเตอร์ คาลมุส’ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นขาประจำของนักวิทยาศาสตร์ที่ออกมาพูด (ที่ไม่ใช่การประท้วง) อย่างสม่ำเสมอ
คาลมุส จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ในสาขาฟิสิกส์จากฮาร์วาร์ด และปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์จากโคลัมเบีย
ปัจจุบัน ทำงานในห้องปฏิบัติการ JPL ของ NASA ที่ศึกษาทั้งอวกาศและโลก เพื่อทำความเข้าใจภาวะฉุกเฉินของสภาพอากาศ และความหลากหลายทางชีวภาพ
เขายังเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Climate Ad Project องค์กรที่สร้างความตระหนักเกี่ยวกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ รวมถึง Earth Hero แอพพลิเคชั่นที่รวบรวมนักเคลื่อนไหวมาร่วมทำกิจกรรมรณรงค์
ในปี 2017 คาลมุส ตีพิมพ์หนังสือของตัวเองชื่อ Being the Change: Live Well and Spark a Climate Revolution เล่าเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงตัวเองที่เชื่อมโยงกับข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
หนังสือบอกกับผู้อ่านว่าโลกใบนี้สวยงามอย่างไร และเราต้องทำอะไรเพื่อรักษาโลกที่สวยงามใบนี้ให้คงอยู่ต่อไป
ในบทแรกเขาเล่าว่า ตัวเขารู้จักคำว่า ‘โลกร้อน’ ตอนเรียนอยู่ในชั้นประถม 6 ซึ่งเป็นครั้งเดียวที่มีการกล่าวถึงคำนี้ในชั้นเรียนการศึกษา
คาลมุสย้อนความหลังว่ามันฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์มากกว่าความเป็นจริงที่ต้องมานั่งห่วงกังวล
แต่ความสนใจเรื่องนี้มาเกิดขึ้นตอนปี 2006 หลังจากเขามีลูกคนแรก ซึ่งทำให้เขาตระหนักได้ว่าจะใช้ชีวิตแบบเก่าไม่ได้อีกแล้ว
“เราจะยังคงเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อไปอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้จะสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชีวมณฑลสำหรับคนรุ่นอนาคต”
…
สองวันหลังจากรายงาน IPCC ของคณะทำงานชุดที่ 3 เผยแพร่ เขากับเพื่อนตัดสินใจว่าจะไปแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ด้วยการล่ามโซ่ตัวเองไว้กับ Chase Bank เพื่อประท้วงการสนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลของธนาคาร
Chase Bank ขึ้นชื่อว่าเป็นเป็นแหล่งเงินทุนใหญ่ของบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล ตามรายงานของ Vox ในปี 2021
ธนาคารแห่งนี้ให้การสนับสนุนการจัดหาเชื้อเพลิงฟอสซิลในปี 2020 สูงถึง 51.3 พันล้านดอลลาร์ และตั้งแต่ปี 2016 – 2020 Chase Bank ใช้เงินไปมากกว่า 317 พันล้านดอลลาร์
ชายสี่คนล่ามโซ่ตัวเองไว้ที่ประตูธนาคารด้วยกุญแจมือ สวมเสื้อกาวน์ห้องแล็บที่มีตรา Extinction Rebellion ถูกเผยแพร่ผ่าน facebook.com/ScientistRebellion
“ผมมาที่นี่เพราะไม่มีใครฟังนักวิทยาศาสตร์” คาลมุสประกาศกับเพื่อนผู้ประท้วง
“ผมเต็มใจจะเสี่ยงเพื่อโลกที่งดงามใบนี้”
“เราพยายามเตือนพวกคุณมาหลายสิบปีแล้ว นักวิทยาศาสตร์ของโลกกำลังถูกละเลย และมันต้องหยุดได้แล้ว เรากำลังจะสูญเสียทุกอย่างไป”
“เราจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง และเราไม่ได้ล้อเล่น เราไม่ได้โกหก เราไม่ได้พูดเกินจริง มันเลวร้ายมาก” คาลมุสกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ราวกับน้ำตาจะหลั่งออกมาพร้อมๆ กัน
“นี่สำหรับเด็กทุกคนบนโลก… เรื่องนี้ยิ่งใหญ่กว่าพวกเราทุกคนมาก ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนจะต้องลุกขึ้นเสี่ยงและเสียสละเพื่อโลกที่สวยงามแห่งนี้”
นักวิทยาศาสตร์เรียกร้องให้ Chase Bank หยุดจัดหาเงินทุนสำหรับเชื้อเพลิงฟอสซิล และลงทุนในโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลใหม่ๆ
คาลมุสเน้นย้ำว่ามนุษยชาติกำลังใกล้จะล่มสลาย และหากเราไม่ทำเช่นนี้ในทันที ก็จะเกิดผลร้ายตามมา
ตามรายงาน IPCC ของคณะทำงานชุดที่ 3 ใจความสำคัญระบุว่า การปล่อยคาร์บอนฯ สูงสุดจะต้องเกิดขึ้นไม่เกินปี 2025 และลดลงเหลือครึ่งหนึ่งของระดับปัจจุบันภายในปี 2030 จากนั้นให้ลดลงเป็นศูนย์ภายในปี 2050
…
แม้การประท้วงของคามุสและเพื่อนนักวิทยาศาสตร์จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาและเพื่อนถูกจับ (และได้รับการปล่อยตัวค่อนข้างเร็ว) แต่สิ่งที่เขาพูดก็ได้กลายเป็นกระแสในเวลาต่อมา
ในประเทศไทย แฮซแท็ก #LetTheEarthBreath ติดเทรนด์ทวิตเตอร์นานถึง 3 วัน
เช่นเดียวกับคลิปวีดีโอที่ถูกแชร์ทั้งบนเฟสบุ๊กและแอพพลิเคชั่น tiktok
คามุส ได้เขียนบทความเล่าประสบการณ์การประท้วงเผยแพร่บนเว็บไซต์ The Guardian
ใจความตอนหนึ่งเขาบอกว่า “ถ้าทุกคนเห็นในสิ่งที่ผมเห็น สังคมจะเปลี่ยนเข้าสู่โหมดฉุกเฉินด้านสภาพอากาศ และยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในเวลาเพียงไม่กี่ปี”
จากเหตุการณ์เกิดขึ้น สิ่งที่คาลมุสลงมือทำ ตั้งแต่การลดก๊าซเรือนกระจกในชีวิตประจำวัน การพัฒนาตัวเองจนไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศ ตลอดจนการออกมามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสิ่งแวดล้อม
เปรียบเสมือนบทเรียนที่สอนวิธียืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้องให้กับโลก
ว่าเราสามารถลงมือทำบางสิ่งบางอย่างได้ตั้งแต่วันนี้
.
อ้างอิง
-
Who Is Peter Kalmus? The NASA Climate Scientist’s Emotional Speech Has Gone Viral
-
Chapter 1. Waking Up
-
Photo: Brian Emerson
ผู้เขียน
โซเชียลมีเดียที่เขียนบันทึกประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมในยุคแอนโทโปรซีน