เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงรู้จักสิ่งที่เรียกว่า “สารเคมีกำจัดศัตรูพืช” เป็นอย่างดี
และก็คงทราบด้วยว่า เมื่อขึ้นชื่อเป็น “สารเคมี” แล้ว ย่อมมีทั้งผลดีและผลลบ
ด้านหนึ่ง มันอาจช่วยให้พืชผลทางการเกษตรที่เราเพาะปลูกปลอดภัย ไม่มีแมลงมารบกวนทำลายปริมาณผลผลิตตามที่คนเราต้องการ
แต่อีกนัยหนึ่ง (ด้วยความเป็นพิษ) หากเรารับเอาสารเคมีเข้าไป (ไม่ว่าจะมากหรือน้อย) ก็อาจทำให้เราเจ็บป่วย ไม่สบาย จนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว – ดังนั้น หากเลี่ยงได้ ก็ขอให้เลี่ยง หรือควรเลี่ยงไปเลยเสียดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ในงานวิจัยชิ้นใหม่ของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ได้เตือนให้เราต้องระวัง “สารเคมีกำจัดศัตรูพืช” มากยิ่งขึ้น เนื่องด้วยในปัจจุบันพบว่ามีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชปนเปื้อนอยู่ในพื้นที่เกษตรกรรมไม่น้อยกว่า 64% ใน 168 ประเทศทั่วโลก
และพบสารเคมีที่อันตรายต่อร่างกายคนเรา สัตว์ป่า และแมลง มากถึง 92 ชนิด
สารเคมีที่รู้จักกันดี คือ พาราควอต (Paraquat) และไกลโฟเสท (Glyphosate) เป็นสารกำจัดวัชพืชชนิดหนึ่งที่นิยมใช้มากที่สุด ถ้าใช้สารทั้งสองชนิดนี้ในปริมาณน้อยมักจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมีจุลินทรีย์ที่อยู่ในดินและแสงแดดช่วยขจัดความเป็นพิษ ซึ่งใช้เวลานานมากกว่า 3 สัปดาห์
สารเคมีเหล่านั้นกระจายอยู่ทั่วทั้งบนผิวดิน ในอากาศ ตลอดจนแหล่งน้ำ และยังมีโอกาสแทรกซึมไปยังที่อื่นๆ ผ่านนิเวศทางธรรมชาติรอบข้าง (ที่ไม่ได้ใช้สารเคมี) ได้อีกด้วย
ตามข้อมูลของงานวิจัยระบุว่า ประเทศแถบเอเชีย อาทิ จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ถือเป็นกลุ่มมีความเสี่ยงสูงสุดในการประสบพบสารเคมีอันตรายเหล่านั้น
ความเสี่ยงที่ว่าไม่ได้หมายถึงคนทำเกษตรหรือคนในประเทศที่ว่ามา แต่ยังรวมถึงคนที่รับสินค้าทางการเกษตรของประเทศเหล่านั้นไปบริโภคอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ต้องชวนคิดต่อว่าการเพิ่มขึ้นของจำนวนมนุษย์บนโลกในอนาคตอาจผลักดันให้เกิดการใช้สารเคมีมากขึ้นเพื่อสร้างอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการ
งานวิจัย อธิบายว่า แม้ว่าการปกป้องการผลิตอาหารจะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาของมนุษย์ แต่การลดมลพิษจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชก็มีความสำคัญเทียบเท่ากับการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพที่รักษาสุขภาพและหน้าที่ของดิน
รวมถึงยังมีปัญหาเรื่องโลกร้อนเข้ามาเอี่ยว ดังเช่นเหตุการณ์ฝูงตั๊กแตนนับล้านระบาดในแอฟริกาตะวันออก เพราะอุณหภูมิที่สูงส่งผลให้ตั๊กแตนกระจายพันธุ์ได้มากขึ้นและไวขึ้น
ซึ่ง “สารเคมี” อาจเป็นคำตอบของทางรอดที่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาดังกล่าว แม้ว่าจะไม่ใช่หนทางที่ถูกที่ควรก็ตาม
แน่นอนว่าการใช้ยาฆ่าแมลงมีผลทำให้แมลงหลายชนิดหายไป
และผลของการสูญเสียแมลงนั้น นำมาซึ่งการล่มสลายของสายพันธุ์พืชอีกนับไม่ถ้วน ที่จำเป็นต้องอาศัยแมลงในการช่วยกระจายเมล็ดพันธุ์
แม้ปัจจุบันมนุษยชาติจะมีความรู้ความสามารถในการขยายพันธุ์พืช ตลอดจนการเพาะปลูกกู้ชีวิตสายพันธุ์ต่างๆ ให้อยู่รอดได้ แต่กระบวนการ “สร้าง” ล้วนมีต้นทุน ตรงกันข้ามกับการดำรงอยู่ในวงจรของธรรมชาติ ที่เรียกว่า “นิเวศบริการ” ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้รับมาฟรีๆ
นอกจากปัญหาที่เกี่ยวพันกับคนเราและแมลงแล้ว ในหลายต่อหลายครั้งยังเกี่ยวโยงกับสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิดที่ต้องมารับกรรมโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ในเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงสังคมในประเทศมากที่สุด ตัวอย่างเช่น ผลกระทบของยาฆ่าแมลงได้ทำให้เกิดเหตุการณ์นกเป็ดแดงตายเกลื่อนในทุ่งนา จ.ลำปาง
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไขปรับปรุงทั้งประโยชน์ต่อตัวมนุษย์เอง
รวมถึงเพื่อนร่วมโลก ที่คอยเกื้อหนุนประโยชน์ให้แก่เราอีกนานับประการ
อนึ่ง ในเบื้องต้น งานวิจัยนี้มุ่งหวังให้เห็นว่าการตรวจสอบสารตกค้างเป็นประจำทุกปีเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อตรวจหาแนวโน้มเพื่อจัดการและลดความเสี่ยงจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช
ขณะเดียวกัน ก็ควรหาวิธีการเปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตรที่ยั่งยืน ซึ่งช่วยลดการสูญเสียอาหาร (เพราะสารเคมีตกค้าง) พร้อมๆ กับลดการใช้ยาฆ่าแมลงลงไปในตัว
อ้างอิง
64% of global agricultural land at risk of pesticide pollution?
เจาะวิกฤตตั๊กแตนทะเลทรายระบาดภัยคุกคามจากภูมิอากาศที่แปลี่ยนแปลง
โศกนาฏกรรมนกเป็ดแดง และความตายที่เรายังมองไม่เห็น
ผู้เขียน
โซเชียลมีเดียที่เขียนบันทึกประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมในยุคแอนโทโปรซีน