ภาพหมีขั้วโลกตัวผอมคงเป็นสิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้บ่อยขึ้นในทศวรรษนี้
สาเหตุเป็นเพราะแผ่นน้ำแข็งบนทะเลกรีนแลนด์จับตัวเป็นพื้นให้หมีเหยียบเหลือน้อยลง
แถมช่วงเวลาที่มีน้ำแข็งยังหายไปเพิ่มอีก 3 สัปดาห์
สัตว์ที่ต้องการไขมันมากๆ อย่างหมีจึงต้องอด(ทน)นานขึ้น เพื่อรอวันที่น้ำแข็งจะจับตัวอีกครั้ง
และผลของการทนอดก็ตามมาด้วยสภาพร่างกายที่ผอมลงอย่างที่เราเคยได้เห็นผ่านตากันมาบ้าง
นับตั้งแต่ปี 2013 ที่เราได้เห็นภาพหมีขั้วโลกนอนตายในสภาพผอมโซ จากช่างภาพ แอชลีย์ คูเปอร์ (Ashley Cooper) อันแสนสลดหดหู่
ตามมาด้วยผลงานของ คริสตีน แลงเอนเบอร์เกอร์ (Kerstin Langenberger) ในปี 2015 ที่ถ่ายภาพหมีผอมตัวหนึ่งกำลังเดินหาอาหาร ตลอดจนสารคดีของ National Geographic ปี 2018
ภาพเหล่านั้นเป็นเพียงปฐมบทของการเริ่มต้น – หลังจากนี้คงได้เห็นอีกหลายภาพตามมา
เช่นเดียวกับงานวิจัยหลายๆ ชิ้นที่ถูกผลิตตามออกมา และให้คำตอบอย่างชัดเจนแล้วว่า หมีขั้วโลกกำลังผอมลงจริงๆ พวกมันไม่สามารถรักษาหุ่นอันอวบอั๋นเอาไว้ได้อีกแล้ว
แนวโน้มที่เคยวิเคราะห์ว่าหมีขั้วโลกจะสูญพันธุ์เมื่อถึง ค.ศ. 2100 จึงเริ่มใกล้ความจริงเข้ามาเรื่อยๆ
เรื่องราวที่ว่าถูกย้ำชัดอีกครั้งจากผลการศึกษาที่เพิ่งตีพิมพ์ออกมาล่าสุด
นักวิทยาศาสตร์พบว่า หมีขั้วโลกยังไม่สามารถปรับตัวให้อยู่รอดจากสภาพปัญหาที่ต้องเผชิญ
โดยการศึกษาใหม่ที่ติดตามดูหมีขั้วโลกมาตลอด 3 ปี แสดงให้เห็นแล้วว่าหมีขั้วโลกไม่สามารถหาสารอาหารมาทดแทนในฤดูร้อนที่ยาวนานขึ้นได้ดีสักเท่าไหร่
ตามปกตินั้น เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนที่น้ำแข็งละลายหายไปหมด พวกหมีขั้วโลกจะอาศัยอยู่บนบก วันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่นอนและนอนและนอน
หรือหากตัวไหนเริ่มรู้สึกว่าพลังงานเริ่มหดหายมากเกินไป ก็จะเดินเตร็ดเตร่ไปหาพืช ผลเบอร์รี่ ซึ่งแน่นอนว่ามีสารอาหารไม่เพียงพอต่อสัตว์ที่กินจุและหนักเกือบ 600 กิโลกรัม สำหรับตัวผู้ที่โตเต็มวัย
หากแต่ในอดีตที่ผ่านมา การหากินบนบกในช่วงไร้น้ำแข็งนั้นก็เพียงการประทังหิวในช่วงเวลาสั้นๆ ที่กลไกลร่างกายของหมียังพอปรับตัวได้
แต่เมื่อต้องอยู่นานขึ้นนั่นย่อมไม่ใช่เรื่องดี
หรือในบางกรณีหมีอาจพาตัวเองลงน้ำ ลอยละล่องไปหาซากสัตว์กิน เช่น ซากวาฬเบลูกา ชดเชยพลังงานที่เสียไปในการออกเดินแต่ละวัน
แต่การลอยน้ำเพื่อกินก็ถือเป็นงานที่ยากของหมี และเปลืองพลังงานพอสมควร
อีกทั้งหมีขั้วโลกไม่สามารถที่จะว่ายน้ำแล้วกินไปพร้อมกันได้
พวกมันทำได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง
โดยหมีจะแทะเล็มซากทีละหน่อย และอาศัยซากนั้นเพื่อพยุงตัวพักเอาแรงไว้สำหรับว่ายกลับเข้าฝั่ง
ผลก็คือ พลังงานที่ได้มา ก็เหมือนจะหมดไปเพราะการว่ายกลับอยู่ดี
อันที่จริงหมีขั้วโลกเป็นสัตว์ที่ว่ายน้ำเก่ง แต่ก็คงไม่เหมาะกับช่วงเวลาที่ร่างกายกำลังผ่ายผอมลงในฤดูร้อน
ไม่ว่าจะการหาอาหารบนบกหรือในน้ำ อย่างไหนก็ไม่ใช่ทางรอดของหมี – หมีไม่สามารถได้อาหารได้ดีเท่ากับการเดินทางบนแผ่นน้ำแข็ง อย่างที่เคยทำมาเมื่อในอดีตอย่างปกติสุข
ยิ่งแผ่นน้ำแข็งมาช้าเท่าไหร่ พวกหมีก็ยิ่งเสี่ยงต่อการอดอาหารตายมากขึ้นเท่านั้น
งานวิจัยใหม่นี้ สอดคล้องกับการสังเกตุการณ์ของนักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มก่อนหน้านั้น ที่พบว่าหมีในแคนาดามีความพยายามปรับตัวเริ่มออกล่าไข่นกบนบกมากินเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เล่าว่าเกาะ Mitivik Island กลายเป็นภัตราคารแห่งใหม่ของเหล่าหมีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
หมีหลายตัวมักจะแวะมาเยี่ยมเยียนเกาะแห่งนี้ในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิ
โดยเฉพาะบรรดาหมีหนุ่มที่มักจะหิวอยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม ในมุมของนักวิทยาศาสตร์ พวกเขามองว่าหมีขั้วโลกยังไม่ใช่ ‘สัตว์ผู้ล่า’ ที่หาไข่นกได้เก่งกาจสักเท่าไหร่
หมีต้องอาหาศัยการ ‘มอง’ เพื่อค้นหารังนกบนเกาะ และมีบ่อยครั้งที่พวกมันต้องพบกับความผิดหวัง เพราะรังนั้นว่างเปล่า
ตามปกติ หมีจะใช้ความสามารถในการดมกลิ่น เพื่อค้นหาแมวน้ำหรือตัววอลรัส แต่ดูเหมือนหมียังไม่สามารถใช้ทักษะพิเศษนี้เพื่อค้นหาไข่นกได้
ชะตากรรมของหมีขั้วโลกนับจากนี้ จะเป็นอย่างไร คงขึ้นอยู่กับว่าเราจะแก้ไขปัญหาโลกเดือดได้เร็วแค่ไหน
แต่ทั้งนี้ผลการวิจัยล่าสุดชี้ว่า น้ำแข็งกรีนแลนด์ละลายตัวเฉลี่ยถึง 30 ล้านตันในทุกๆ 1 ชั่วโมง
สะท้อนให้เห็นว่า วิกฤตการณ์โลกเดือดนับวันจะยิ่งสร้างผลกระทบที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป
หมีขั้วโลกตัวอ้วนกลม คงกลายเป็นแค่ภาพจำอันเลือนลางของโฮโมเซเปี้ยนในโลกอนาคต
อ้างอิง
- Climate change: Polar bears face starvation threat as ice melts
- Scientists strapped cameras to a bunch of polar bears. The footage is breathtaking — and alarming
- The polar bear who died of climate change – big picture
- Photographer of ‘horribly thin’ polar bear hopes to inspire climate change fight
- Starving-Polar-Bear Photographer Recalls What Went Wrong
- Hungry Polar Bears Risk Starvation in the Hunt For Seabird Eggs
- Greenland losing 30m tonnes of ice an hour, study reveals
ผู้เขียน
โซเชียลมีเดียที่เขียนบันทึกประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมในยุคแอนโทโปรซีน