อนาคตอันมืดมน
การศึกษาโดย Breakthrough National Centre for Climate Restoration สถาบันคลังสมองสัญชาติออสเตรเลียว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเปิดเผยถึงข่าวร้ายที่น่าหวั่นใจ อารยธรรมมนุษย์จะถึงคราวล่มสลายภายใน พ.ศ. 2593 หากไม่จัดการภัยคุกคามครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
งานวิจัยชิ้นดังกล่าวระบุอย่างชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ “เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติปัจจุบันที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง และคุกคามการสูญพันธุ์การระยะเวลาอันสมควรของชนิดพันธุ์ทรงปัญญาบนโลก หรืออาจสร้างผลเสียหายร้ายแรงที่ไม่อาจฟื้นฟูได้จนสูญเสียศักยภาพที่จะพัฒนาเพื่อสร้างอนาคตอย่างที่ต้องการ”
หากกล่าวโดยสรุป ย่อหน้าข้างต้นหมายความว่าโลกของเรากำลัง “เดินไปบนเส้นทางที่จะนำไปสู่จุดจบของอารยธรรมมนุษย์ หรือสังคมยุคใหม่ที่เราคุ้นเคย”
จุดที่ไม่สามารถหันหลังกลับได้
ภายใน พ.ศ. 2593 มนุษยชาติจะถึงจุดที่ไม่สามารถหันหลังกลับได้ ซึ่งหมายถึง “พื้นที่ขนาดใหญ่บนโลกที่ไม่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยอีกต่อไปจะกลายเป็นชนวนทำลายรัฐชาติและเสถียรภาพระหว่างประเทศ”
การศึกษาชิ้นดังกล่าวระบุว่า ภาพในอนาคตจะเป็น “การอพยพทางสังคมขนาดใหญ่และเร่งด้านทั้งในแง่แรงงานและทรัพยากร ซึ่งจะคล้ายคลุงกับภาพการเคลื่อนย้ายในภาวะฉุกเฉินระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2”
จุดจบของมนุษยชาติ
ส่วนหนึ่งของทางออกคือการจัดทำ “แผนการมาร์แชล (Marshall Plan) แบบการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในฝั่งอุปทานพลังงานและการผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อสร้างกลยุทธ์อุตสาหกรรมไร้คาร์บอน”
เป้าหมายของแผนดังกล่าวคือการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสหากเปรียบเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ในสถานการณ์ปัจจุบัน หากเรายังไม่ขับเคลื่อนเพื่อลดการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 องศาเซลเซียส ซึ่งจะส่งผลเลวร้ายต่อระบบนิเวศสำคัญหลายแห่งบนโลก ไม่ว่าจะเป็นแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ หรือป่าแอมะซอน
“แม้แต่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก 2 องศาเซลเซียสจะส่งผลให้ประชากรนับพันล้านคนต้องอพยพ ความไม่แน่นอนดังกล่าวอาจนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพในระดับที่แบบจำลองของเราระบุว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะทำให้มนุษยชาติถึงจุดจบ” รายงานดังกล่าวระบุ