งานวิจัยชิ้นใหม่เรื่องมลพิษจากไฟป่า ระบุว่าควันจากไฟป่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนมากกว่ามลพิษที่เกิดจากท่อไอเสียรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม ถึง 10 เท่า
งานวิจัยนี้ เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทางใต้ของแคลิฟอร์เนีย ย้อนหลังตั้งแต่ปี 1999 – 2012 และพบว่ามลพิษทางอากาศจากไฟป่ามีผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่ามลพิษจากแหล่งอื่นๆ
ในช่วงที่เกิดไฟป่าของปี 2020 ถือเป็นฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดของแคลิฟอร์เนีย มีพื้นที่ไหม้ 4.1 ล้านเอเคอร์และไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่สุด 5 ใน 6 ครั้งที่เป็นประวัติการณ์
ชาวอเมริกัน 1 ใน 7 คน ต้องเผชิญกับมลพิษในระดับอันตรายเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งวัน และควันจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ 20 ครั้งทำให้ท้องฟ้าเบย์แอเรียถูกปกคลุมไปด้วยฉากสีส้มขมุกขมัวน่าหวาดกลัวเป็นเวลานานหลายวัน
งานวิจัย ชวนให้เราพิจารณาว่า มลพิษที่เกิดจากไฟป่าควรมีวิธีจัดการที่แตกต่างจากปัญหามลพิษแบบอื่นๆ หรือไม่
“เราทราบดีว่าไฟป่ากำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” โรซานา อากีเลรา นักวิทยาศาสตร์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก และเป็นผู้ร่วมเขียนงานวิจัย กล่าว
“และสิ่งสำคัญ คือเราต้องเริ่มคำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพจากสิ่งนั้น”
อากีเลรา และทีมวิจัย มุ่งเน้นการศึกษามลพิษที่ระดับ PM2.5 ซึ่งหมายถึงมลพิษที่มีขนาดเล็กมาก อันเป็นองค์ประกอบหลักในควันจากไฟป่า
PM2.5 เป็นอนุภาคที่อันตรายมากเนื่องจากมีขนาดเล็กมาก เมื่อคนเราสูดดมอนุภาคขนาดเล็กนี้เข้าไป สารมลพิษจะสามารถเล็ดลอดผ่านการป้องกันตามธรรมชาติของจมูกและปอด และเข้าไปสู่กระแสเลือด ซึ่งเป็นอันตรายต่ออวัยวะภายในที่สำคัญ
ก่อนหน้านี้เคยมีการศึกษาผลกระทบของควันจากไฟป่าเกิดขึ้นแล้ว และได้คำตอบที่บ่งชี้ว่า มลพิษ PM2.5 ของควันไฟป่านั้นอันตรายกว่ามลพิษจากแหล่งอื่นๆ แต่ที่ผ่านมาเป็นเพียงการศึกษาภายในห้องแล็บ ตรงกันข้ามกับการศึกษาใหม่นี้ที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากสภาพแวดล้อมจริง
ข้อมูลประกอบการศึกษา นำมาจากการสำรวจพื้นที่ทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่กระแสลมซานตาแอนาพัดพาเอาควันจากไฟป่าและมลพิษอื่นๆ ไปสู่จุดที่มีประชากรอาศัยอย่างหนาแน่น
พวกเขาพบว่า มีประชาชนเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพราะปัญหาด้านระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด และโรคปอดบวม เพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงที่ภูมิภาคนี้ถูกปกคลุมไปด้วยควันจากไฟป่า
ขณะเดียวกัน ในช่วงอื่นๆ ที่สภาพอากาศย่ำแย่ มีระดับมลพิษใกล้เคียงกัน แต่ไม่ได้อยู่ในฤดูไฟป่า พบผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเข้ารักษาตัวเพิ่มขึ้นราว 1 เปอร์เซ็นต์
จอห์น เบลมส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียซานฟรานซิสโก กล่าวว่า มลพิษทางอากาศเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบกับสุขภาพผู้คนอย่างมีนัยสำคัญ และเราจะต้องใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อรักษาป่าของเรา และคงต้องใช้เวลาอีกหลายปี มันไม่สามารถทำสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน
ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยอีกชิ้นที่เพิ่งตีพิมพ์ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่ามลพิษที่เกี่ยวข้องกับไฟป่าคิดเป็นครึ่งหนึ่งของ PM2.5 ทั่วทางฝั่งตะวันตกสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ในรายงานข่าวยังอ้างถึง ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดไฟป่าในสหรัฐอเมริกา และขยายฤดูไฟป่าของแคลิฟอร์เนียให้ยิ่งรุนแรงขึ้น
นอกเหนือจากต้องจัดการกับเรื่องโลกร้อนแล้ว ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้ฟื้นวิถีการเผาที่มีการควบคุมกลับมาใช้ใหม่ เพื่อป้องกันภัยพิบัติจากไฟที่ไม่สามารถควบคุมได้ (ชาวอเมริกันพื้นเมืองในแคลิฟอร์เนียได้ฝึกฝนการเผาที่มีการควบคุมมาเป็นเวลานาน เพื่อจัดการกับการเติบโตของพุ่มไม้ และเจ้าหน้าที่ของรัฐควรต้องเรียนรู้จากพวกเขา)
ทอม คอร์ริงแฮม นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียซานดิเอโก และผู้เขียนร่วมในงานวิจัย กล่าวว่า งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงความต้องการ “ระบบ” ตรวจสอบอากาศและโปรแกรมด้านสาธารณสุขที่ดีขึ้น เช่น การสนับสนุนเครื่องกรองอากาศ
อย่างไรก็ตาม ต่อเรื่องนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มที่เสี่ยงต่ออันตรายจากมลพิษควันไฟมากที่สุด คือ คนที่ทำงานกลางแจ้ง โดยเฉพาะต่อคนงานในฟาร์มที่มีค่าแรงต่ำ และคนผิวสีในรัฐ
อ้างอิง Wildfire Smoke Is More Damaging to Respiratory Health Than Other Sources of Air Pollution
ผู้เขียน
ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม