รายงานใหม่ของ IEA ระบุว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ทั่วโลกในด้านที่เกี่ยวข้องกับพลังงานจะเพิ่มขึ้น 1.5 พันล้านตันในปี 2021 โดยมีแรงผลักดันจากความต้องการถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าที่ดีดตัวขึ้นสูง
.
การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงานทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 1.5 พันล้านตันในปี 2021 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ สวนทางกับการลดลงในปีที่แล้วเพราะการระบาดของโควิด-19 อ้างอิงตามรายงานฉบับใหม่ขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA – International Energy Agency)
หากเป็นดังข้อมูลคาดการณ์ของรายงาน นี่จะเป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากวิกฤตการเงิน
รายงาน Global Energy Review 2021 โดย IEA คาดการณ์ว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ จะเพิ่มขึ้นเกือบ 5% ในปีนี้เป็น 33 พันล้านตัน ซึ่งเกิดจากการวิคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ และโครงการพลังงานใหม่ๆ จากทุกประเทศทั่วโลกแบบเรียลไทม์
ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ คือความต้องการถ่านหิน ซึ่งคาดว่าจะเติบโต 4.5% แซงหน้าระดับ 2019 และเข้าใกล้จุดสูงสุดตลอดกาลจากปี 2014 โดยภาคการผลิตไฟฟ้าคิดเป็นสามในสี่ของการเพิ่มขึ้นนี้
“การปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.5 พันล้านตันในปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัว และการใช้ถ่านหินในภาคพลังงาน นี่เป็นคำเตือนที่น่ากลัวเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากวิกฤตโควิดโดยไม่สนวิธีการ และมันอาจไม่ยั่งยืนต่อภาวะฉุกเฉินทางสภาพอากาศของเรา” Fatih Birol ผู้อำนวยการบริหารของ IEA กล่าว
“หากรัฐบาลทั่วโลกไม่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพื่อเริ่มลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ เรามีแนวโน้มที่จะเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งขึ้นในปี 2565 การประชุมสุดยอดผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจัดโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐในสัปดาห์นี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ ว่าจะมุ่งมั่นดำเนินการอย่างไรให้เกิดความชัดเจนในการประชุม COP26 ที่กลาสโกว์”
ความต้องการพลังงานทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.6% ในปี 2564 ซึ่งนำโดยตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งจะถูกผลักดันให้สูงกว่าระดับ 2019
ความต้องการเชื้อเพลิงฟอสซิล มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปี 2564 โดยทั้งถ่านหินและก๊าซจะเพิ่มขึ้นเหนือระดับของปี 2019
ในส่วนของน้ำมันยังมีการดีดตัวอย่างรุนแรง แต่คาดว่าจะอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดของปี 2019 เนื่องจากภาคการบินยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน
โดยพลังงานถ่านหินส่วนใหญ่คาดว่าจะมาจากประเทศแถบเอเชีย ซึ่งนำโดยประเทศจีน การใช้ถ่านหินในสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ยังคงต่ำกว่าระดับก่อนวิกฤต
การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจะก้าวกระโดดกว่า 8% ในปี 2021 ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณการจ่ายไฟฟ้าโดยรวมทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น
การเติบโตส่วนใหญ่มาจากแสงอาทิตย์และพลังงานลมซึ่งกำลังทยอยเพิ่มขึ้นและถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
การผลิตไฟฟ้าจากลมคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 275 เทราวัตต์ – ชั่วโมงหรือประมาณ 17% จากปีที่แล้ว
การผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 145 เทราวัตต์ – ชั่วโมงเพิ่มขึ้นเกือบ 18% จากปีที่แล้ว
ผลผลิตรวมของพลังงานทั้งสองชนิดกำลังจะไปถึงมากกว่า 2,800 เทราวัตต์ – ชั่วโมงในปี 2021
ตามรายงานคาดว่าพลังงานหมุนเวียนจะผลิตไฟฟ้าได้ 30% ทั่วโลกในปี 2021 ซึ่งเป็นส่วนแบ่งการผลิตไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่เริ่มต้นการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเพิ่มขึ้นจากน้อยกว่า 27% ในปี 2019
นาอกจากนี้ ยังพบด้วยว่าการผลิตพลังงานหมุนเวียนในประเทศจีนจะเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่งของการเพิ่มขึ้นทั่วโลก ตามด้วยสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และอินเดีย
อ้างอิง
Global carbon dioxide emissions are set for their second-biggest increase in history
ภาพประกอบ
Kevin Frayer/Getty
ผู้เขียน
ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม