ประมงพื้นบ้าน ยื่นหนังสือคัดค้านมาตรา 69 การเพิ่มอวนล้อมจับตาถี่ในเวลากลางคืนจะกระทบมากขึ้นไปอีก

ประมงพื้นบ้าน ยื่นหนังสือคัดค้านมาตรา 69 การเพิ่มอวนล้อมจับตาถี่ในเวลากลางคืนจะกระทบมากขึ้นไปอีก

12 มีนาคม 2568 – นายปิยะ เทศแย้ม นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย และคณะ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ สส.พรรคประชาชน โดยมีนายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ นายรังสิมันต์ โรม และคณะเข้ารับหนังสือ

โดยเนื้อหาในหนังสือระบุว่า “การอนุญาตให้ใช้อวนตาถี่แทบเท่ามุ้งล้อมจับสัตว์น้ำขนาดเล็กและวัยอ่อนได้ตั้งแต่ระยะ 12 ไมล์ทะเลจากแนวทะเลชายฝั่ง” จะกระทบต่อสัตว์น้ำวัยอ่อนในห่วงโช่ระบบนิเวศในธรรมชาติอย่างยิ่ง

โดยที่ปัจจุบันอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ยังมีผลผลิตสัตว์น้ำพลอยจับ มูลค่าต่ำ ทำให้เสียมูลค่าในอัตราสูงเกินสมควรอยู่แล้ว การเพิ่มอวนล้อมจับตาถี่ในเวลากลางคืนจะกระทบมากขึ้นไปอีก

จากวาระการประชุมพิจารณา พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.ประมงฯ ที่ควรจะเกิดขึ้นในวันนี้

ได้ถูกเลื่อนออกไปเป็นวันพุธ ที่ 19 มีนาคม 2568

เราจะยังติดตามจับตาใกล้ชิดด้วยความอดทนอุตสาหะเช่นเดิม และส่งตัวแทนไปส่งสารถึงคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน เพื่อพิจารณาข้อเสนอจากเราด้วย

แถลงการณ์ฉบับที่ 4 ขอ สส. รักษาประโยชน์ส่วนรวม หยุดมาตรา 69 ไว้แค่นี้ หยุดอวนล้อมจับตาถี่ ทำลายทะเลทำร้ายประมง

หลักจากสภาผู้แทนราษฎรมีมติผ่านมาตรา 69 ในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายประมง ซึ่งเป็นการให้อำนาจฝ่ายบริหารให้ใช้ “อวนล้อมจับตาถี่แทบเท่ามุ้ง” เป็นอุตสาหกรรมการประมงทะเลในเวลากลางคืนได้ นับเป็นอุตสาหกรรมการประมงที่เดิมพันกับความเสี่ยงต่อการล่มสลายของทรัพยากรสาธารณะมูลค่านับแสนล้านบาทต่อปี

ในเวลาสองเดือนเศษที่ผ่านมา ประชาชนหลายภาคส่วนทั้งชาวประมง นักดำน้ำ นักตกปลา นักท่องเที่ยว นักวิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ได้ลงแรงรวบรวมข้อมูลเชิงประจักษณ์เกี่ยวกับผลกระทบและชี้ให้เห็นว่า การมอบอำนาจให้รัฐมนตรี “อนุญาตให้ใช้อวนตาถี่แทบเท่ามุ้งล้อมจับสัตว์น้ำขนาดเล็กและวัยอ่อนได้ตั้งแต่ระยะ 12 ไมล์ทะเลจากแนวชายฝั่ง” จะกระทบต่อสัตว์น้ำวัยอ่อนในห่วงโซ่ระบบนิเวศในธรรมชาติอย่างยิ่ง โดยที่ปัจจุบันอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ยังมีผลผลิตสัตว์น้ำพลอยจับมูลค่าต่ำ ทำให้เสียมูลค่าในอัตราเกินสมควรอยู่แล้ว การเพิ่มอวนล้อมจับตาถี่ในเวลากลางคืนจะกระทบมากขึ้นไปอีก

สองเดือนที่ผ่านมา สังคมไทยได้รับรู้ชัดเจนว่า “สิทธิ” ที่ได้ใช้ “เทคโนโลยีอวนล้อมจับตาถี่ในเวลากลางคืน” ดังกล่าวนี้ จะถูกมอบให้กับคณะบุคคลจำนวนหนึ่งเท่านั้น การออกกฎหมายลักษณะนี้อาจเป็นไปในลักษณะที่มุ่งจำกัดสิทธิการเข้าถึงทรัพยากรส่วนร่วมของภาคประชาชนส่วนใหญ่เพื่อตอบสนองแก่กลุ่มบุคคลบางกลุ่มโดยไม่เป็นธรรม

จากข้อมูลข้อเท็จจริงและการวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคมอย่างกว้างขวางที่ผ่านมานั้น ข้อมูลต่างๆ ถูกนำไปใช้ในการพิจารณากลั่นกรองกฎหมายของวุฒิสภา จนวุฒิสภาได้มีมติแก้ไจมาตรา 69 ใหม่อีกครั้ง เป็น “ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อมจับทุกประเภทที่มีช่องตาอวนเล็กกว่าสองจุดห้าเซนติเมตรทำการประมงในเวลากลางคืน”

เรายึดมั่นและเห็นพ้องเสมอว่า สภาผู้แทนราษฎรนั้นเป็นสถาบันหลักในการตรากฎหมายของประเทศ ในวาระที่มาตรา 69 ของร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายประมงฯ กลับสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งนั้น เราหวังว่าจะเป็นโอกาสดี ที่ผู้แทนราษฎรจะได้สดับรังฟังข้อมูลและการพิจารณาใหม่ เราเห็นว่าหาก “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” จากทุกพรรค และรัฐบาลผู้นำเสียงข้างมากในสภา ร่วมกันแสดงจุดยืนบนฐานผลประโยชน์ส่วนรวม และเลือกโหวตสนับสนุนความเห็นจากการกลั่นกรองของวุฒสภานับเป็นย่างก้าวทางการเมืองที่สง่างาม และสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบกระบวนการตรากฎหมายประมงใหม่ของประเทศไทยอย่างยิ่ง

เราทราบว่าสภาผู้แทนราษฎร ขยับวาระการประชุมพิจารณา พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.ประมงฯ จากวาระเดิมในวันนี้ เป็นวันพุธที่ 19 มีนาคม เราจะยังติดตามจับตาใกล้ชิดด้วยความอดทนอุตสาหะเช่นเดิม วันนี้เรายังคงนัดหมายชาวประมงพื้นบ้าน “ชุมนุมออนไลน์ติดตามผู้แทนฯ โหวตมาตรา 69 เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป จากทุกจังหวัดชายทะเลพร้อมกันทั่วประเทศ” และส่งตัวแทนไปส่งสารถึงคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน เพื่อพิจารณาข้อเสนอจากเราด้วย

ขอทุกท่านโปรดเป็นส่วนหนึ่งในการส่งแรงพลัง – อธิษฐาน ถึงผู้แทนราษฎรของเรา จากอาคารรัฐสภาสัปปายะสภาสถาน พร้อมกัย

12 มีนาคม 2568 สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย