‘กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด โต้เศรษฐา ลั่นจะไม่ยอมให้เปิดเหมืองโปแตชในพื้นที่อีกเด็ดขาด หลังนายกฯ มีความเห็นเร่งเดินหน้าเหมืองโปแตช’
สืบเนื่องจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีความเห็นต่อการทำเหมืองโปแตช ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 โดยสั่งเร่งให้เดินหน้า 3 เหมืองแร่ที่ได้ประทานบัตรไปแล้วในสามพื้นที่ คือ บริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ บริษัท ไทยคาลิ จำกัด อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา และบริษัท เอเซียแปซิฟิคโปแตชคอร์ปเปอร์เรชั่น จำกัด จ.อุดรธานี พร้อมสั่ง “ถ้าทำไม่ได้ ก็ประมูลหารายใหม่มาทำ”
ความเห็นของนายกรัฐมนตรี สร้างความวิตกอย่างยิ่งให้กับกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ซึ่งในพื้นที่ได้รับผลกระทบแล้วจากโครงการเหมืองแร่โปแตช ที่นอกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะไม่ดำเนินการแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว นายกฯ ก็ยังเพิกเฉยต่อประเด็นปัญหา ทั้งยังสั่งเดินหน้าโครงการ โดยไม่พูดถึงเรื่องผลกระทบเลยแม้แต่น้อย
8 พฤศจิกายน 2566 กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด จึงรวมตัวกันกว่า 100 คน เพื่อทำกิจกรรมอ่านแถลงการณ์เพื่อแสงจุดยืนตอบโต้ความเห็นของนายเศรษฐา พร้อมทั้งยืนไว้อาลัยให้กับความเห็นดังกล่าว ที่น่าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าสุดท้ายแล้วรัฐบาลเพื่อไทย ก็ทำได้เพียงขายแผ่นดินเกิดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของชาวบ้าน ไม่ต่างอะไรจากรัฐบาลประยุทธ
แถลงการณ์กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ต่อความเห็นนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน กรณีเดินหน้าเหมืองโปแตช
จากกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ให้ความเห็นต่อเรื่องการทำเหมืองโปแตชในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นให้เห็นถึงการนำมาขายเพื่อส่งออก และต้องการเร่งรัดการดำเนินโครงการเหมืองแร่ที่ได้รับประทานบัตรไปแล้วในสามพื้นที่ คือ บริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ , บริษัท ไทยคาลิ จำกัด อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา และ บริษัท เอเซียแปซิฟิคโปแตชคอร์ปเปอร์เรชั่น จำกัด จ.อุดรธานี พร้อมข่มขู่ว่าหากไม่สามารถดำเนินการได้ให้หาหาผู้ประมูลมาทำงานใหม่นั้น
ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า รัฐบาลชุดนี้มองทรัพยากรทุกอย่างเป็นเพียงเม็ดเงิน ไม่ได้ให้ความสำคัญเลยว่าเม็ดเงินเหล่านั้นจะแลกมากับความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่อย่างไรบ้าง พื้นที่ ต.หนองไทร อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา คือตัวอย่างที่ดีที่สุดของผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหมืองโปแตช ความเสียหายจากดินเค็ม น้ำเค็ม จนไม่สามารถทำการเกษตรได้ หลายคนต้องยอมจำนนขายที่ดินเพื่อให้มีเงินเลี้ยงชีพ แล้วเปลี่ยนอาชีพไปทำงานรับจ้าง บ้านเรือนในพื้นที่เกิดการผุกร่อน น้ำประปาหมู่บ้านที่ใช้ไม่ได้ ยังไม่รวมถึงอุโมงค์ขุดเจาะเดิม ที่น้ำท่วมจนต้องปิดไป ที่ไม่มีใครใส่ใจเลยแม้แต่น้อยว่าน้ำที่ท่วมอุโมงค์ขุดเจาะ ที่เจาะไปถึงชั้นเกลือแล้วนั้นจะสร้างผลกระทบในระยะยาวอย่างไรบ้าง
ปัญหาเหล่านี้ คือสิ่งที่รัฐบาลเพื่อไทยไม่เคยเหลียวแล ไม่เคยสนใจ ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่ที่สมควรกลับมาทบทวนความคุ้มค่าของเหมืองโปแตช เมื่อเทียบกับผลกระทบที่เกิดขึ้น ส่งออกแร่โปแตชแล้วซื้อปุ๋ยกลับมาในราคาที่แพง และที่สำคัญไปมากกว่านั้น ชาวบ้านในพื้นที่ต้องรับกรรม ไม่รู้จะเอาปุ๋ยไปใส่อะไร เพราะที่ดินกลายเป็นคราบเกลือหมดแล้ว ไม่สามารถเพาะปลูกอะไรได้อีก
กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด เคยยื่นหนังสือกับ สส.เพื่อไทยในพื้นที่ แต่ก็เงียบหาย จนสุดท้ายได้รับความชัดเจนจากปากนายกรัฐมนตรีว่าต้องการเปิดเหมืองต่อโดยไม่สนใจความเดือดร้อนของใครทั้งสิ้น เพียงเพราะเป้าหมายในการทำเหมืองโปแตช เปรียบเสมือนการสานฝันโครงการของ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ปรับแก้กฎหมายแร่จนสามารถทำเหมืองใต้ดินได้ โดยไม่ต้องให้นายทุนต้องเสียเงินในการซื้อที่ดินของชาวบ้าน
สุดท้าย รัฐบาลเพื่อไทย ก็ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลชุดนี้ ไม่มีความสามารถในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจใดๆ ทำได้เพียงแค่จ้องจะขายแผ่นดินกิน ไม่ต่างจากรัฐบาลประยุทธ และดูแล้วจะเลวร้ายยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ จากคำพูดที่มีการวางอำนาจใหญ่โต ไม่เห็นหัวประชาชน
กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด รู้สึกผิดหวังต่อรัฐบาลเพื่อไทยเป็นอย่างยิ่ง โดยขอประณามต่อความเห็นดังกล่าว ที่แสดงให้เห็นถึงความเพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของประชาชน แสดงให้เห็นถึงความโลภในการตักตวงทรัพยากรโดยไม่สนวิธีการ และ แสดงให้เห็นถึงความไม่มีศักยภาพในการเป็นผู้นำประเทศ
และขอประกาศไว้ ณ ที่นี้ว่า พวกเรากลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด จะไม่ยอมให้มีการเปิดเหมืองโปแตชขึ้นในพื้นที่อีกต่อไป พวกเราจะปกป้อง รักษา และหวงแหนพื้นที่บ้านเกิดเพื่อส่งต่อที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ไว้ให้ลูกหลาน ไม่ใช่ที่ดินที่เต็มไปด้วยแผ่นเกลือ ไม่ใช่น้ำที่เค็มยิ่งกว่าน้ำทะเล
“ชาวบ้านอยากกินข้าวไม่ได้อยากกินเกลือ ถ้าเมื่อไหร่นายกเศรษฐาและรัฐบาลเพื่อไทย กินเกลือแทนข้าว ค่อยมาคุยกันเรื่องเปิดเหมืองโปแตช”
รายงานโดย กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด จ.นครราชสีมา