กลายเป็นประเด็นข้ามชาติอีกครั้ง เมื่อเหมืองแร่ฝั่งเมียนมาปล่อยน้ำพิษลงแม่น้ำกระบุรี ชาวบ้านไม่สมารถใช้น้ำได้เลย สัตว์น้ำก็หาย การท่องเที่ยวก็สูญ วอนหน่วยงานรัฐประสานทางการเมียนมา
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 ผู้สื่อข่าวได้ร้องเรียนจากชายบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกระบุรี อ.กระบุรี จ.ระนอง ว่าไม่สามารถใช้น้ำในแม่น้ำกระบุรี ซึ่งเป็นแม่น้ำสายที่เป็นพรมแดนกั้นระหว่างประเทศไทย-เมียนมาได้เลย เนื่องมาจากฝั่งเมียนมามีการทำเหมืองแร่ ส่งผลให้น้ำขุ่นและคันจนไม่สามารถใช้งานได้ น้ำริมตลิ่งก็ตื้นเขิน จนสัตว์น้ำเริ่มทยอยหายไปจากลำน้ำหมดแล้ว
ชาวบ้านรายหนึ่งกล่าวว่า เหมืองแร่ดังกล่าวน่าจะเป็นเหมืองดีบุกหรือทองคำ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ประเทศเมียนมาห่างจากชายแดนไทยเพียง 19 กิโลเมตร ประกอบกับต้นแม่น้ำกระบุรีอยู่ในเมียนมา ทำใหม่เมื่อมีการปล่อยน้ำเสียจากเหมืองลงแม่น้ำ ก็จะส่งผลให้แม่น้ำทั้งสายมีสีขุ่นตลอดทั้งปี
ด้วยแม่น้ำนั้นมีความยาวพาดผ่านมาถึงฝั่งไทย ทำให้ชาวบ้านที่ใช้น้ำมีอาการคันตามร่างกาย และทุกชุมชนที่นำน้ำมาใช้ในการอุปโภคบริโภคต่างก็ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
ชาวบ้านกล่าวว่า ครั้งหนึ่งเคยทำหนังสือยื่นให้กับนายกองค์กรการบริหารส่วนตำบล (อบต.) ปากจั่นไปแล้ว โดยให้ทางอบต.ช่วยดำเนินการส่งเอกสารไปหน่วนงานราชการระดับจังหวัดว่าชาวบ้านนั้นได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการทำเหมืองในประเทศเมียนมา แต่ทุกวันนี้สถานการณ์กลับย้ำแย่เหมือนเดิม ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดใด
“ความช่วยเหลือที่ต้องการเร่งด่วนคืออยากให้น้ำขุ่นน้อยลงหรือใสไปเลย ตอนนี้ชาวบ้านไม่กล้าใช้น้ำ ไม่เฉพาะคนที่ได้รับผลกระทบ สัตว์น้ำบางชนิดน้อยลงมาก เช่น หอย กุ้ง ลดลงเยอะใน 4 ปีที่ผ่านมานี้” ชาวบ้านท่านหนึ่งกล่าว
ขณะที่แหล่งข่าวด้านความมั่นคงบริเวณชายแดน จ.ระนอง แจ้งว่า ช่วงนี้รัฐบาลทหารของเมียนมา ประสบกับปัญหาภายใน เพราะกำลังต่อสู่อยู่กับฝ่ายต่อต้านและกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้ความเดือดร้อนของชาวบ้านริมน้ำกระบุรี ยังไม่สามารถไปพูดคุยอะไรได้ในตอนนี้
ทั้งนี้ทั้งนั้น ชาวบ้านร้องเรียนไปเพราะอยากให้หน่วยงานรัฐของไทยเข้าไปคุยกับทางการเมียนมา แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีหน่วยงานใดรับเป็นเจ้าภาพเลย
นายพีระ ประสงค์เวช ชาวบ้านริมแม่น้ำกระบุรี กล่าวว่า ตนเองได้รับความเดือดร้อนจากการทำเหมืองในประเทศเมียนมา เพราะส่งผลกระทบกับชาวบ้านทุกกลุ่มตั้งแต่ผู้ใช้น้ำไปจนถึงเกษตรกร ส่วนการท่องเที่ยวก็ต้องปิดตัวชั่วคราวเพราะน้ำขุ่นเป็นโคลน
“พวกเราต้องการให้หน่วยงานรัฐทำหนังสือยื่นประท้วงไปยังทางการพม่า เนื่องจากชุมชนเคยยื่นไปเองแต่ทางพม่าไม่ให้ความสำคัญแค่รับเรื่องเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ปัญหานี้เกิดมาเกือบ 4 ปีแล้ว เขาคิดว่าเราเป็นกลุ่มคนเล็กๆ แต่จริงๆแล้วคนใน 3 อำเภอ คือ กระบุรี ละอุ่น และอำเภอเมือง ต่างได้รับผลกระทบ แม้บางพื้นที่ยังไม่ส่งผลกระทบชัดเจนแต่ก็เป็นแม่น้ำสายเดียวกัน ในขณะที่ อ.กระบุรี ไปจนถึงคอคอดกระ ส่งผลชัดเจนแล้ว ทั้งปัญหาน้ำขุ่น สัตว์น้ำสูญหาย พืชน้ำตาย ริมตลิ่งตื้นเขินมีโคลน เราเคยร้องเรียนซึ่งหน้ากับผู้ว่าราชการ จ.ระนอง เมื่อ 27 พฤศจิกายน 2563 จนเดี๋ยวนี้ผู้ว่าฯ เกษียณอายุราชการแล้ว แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข”
“แต่เท่าที่ทราบจากเพื่อนที่เป็นชาวพม่า คือในเหมืองมีการขนเครื่องจักรหนักเข้าไป มีแบ็คโฮ 8 คัน สิบล้ออีก 10 คัน นี่เป็นข้อมูลเมื่อปี 2564 คนเมียนมาเองก็เดือดร้อนเขาต้องใช้น้ำอาบจากแม่น้ำสายนี้แต่เขาไม่รู้จะร้องเรียนที่ไหน อาบแล้วก็คันต้องจำใจ” นายพีระเสริม
ทางด้านกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านหาดจิก ก็ได้ทำหนังสือถึงนางนฤมล บุญช่วย นายก อบต.ปากจั่น ลงวันที่ 1 ก.พ.2566 ใจความว่า วิสาหกิจชุมชนกลุ่มล่องแพลำน้ำกระบุรีและชาวบ้านบ้านหาดจิก หมู่ที่ 5 อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกระบุรี ได้รับผลกระทบทบจากการทำเหมืองแร่ฝั่งประเทศเมียนมา ซึ่งกระทบต่อระบบนิเวศและรายได้ของชาวบ้านอย่างมาก จึงขอความอนุเคราะห์จากหน่วยงานท้องถิ่นแจ้งเรื่องผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ของฝั่งพม่าที่มีผลกระทบต่อการดำรงชีพของชาวบ้านบ้านหาดจิกหมู่ 5 ด้วย
หลังร้องเรียนนางนฤมล ได้ลงนามแล้วส่งให้กองช่างดำเนินการแล้ว และเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 ทางกองช่าง อบต.ปากจั่น ได้ทำหนังสือเชิญ 7 หน่วยงาน ได้แก่ ท้องถิ่นจังหวัดระนอง, นายอำเภอกระบุรี, ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.ระนอง, สาธารณสุขจังหวัดระนอง, ผู้กำกับการ สภ.ปากจั่น, หัวหน้าชุดหน่วยปฏิบัติกิจการพลเรือน กองกำลังเทพสตรีที่ 402 และประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านหาดจิก เพื่อเชิญหารือและบรรเทาความเดือดร้อน
อย่างไรก็ดี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไขแต่อย่างใด เมื่อปัญหาไม่ได้รับการบรรเทา ชาวบ้านลุ่มน้ำกระบุรีจึงต้องจำใจใช้น้ำดังกล่าวไปก่อน โดยคาดหวังว่าในอนาคตสถานการณ์จะดีขึ้นและมีหน่วยงานเข้ามาจัดการรับผิดชอบเสียที
อ้างอิง
- ชาวบ้านริมแม่น้ำกระบุรีเดือดร้อนหนัก เหมืองแร่ฝั่งเมียนมาปล่อยน้ำพิษอาบแล้วคัน สัตว์น้ำหาย การท่องเที่ยวสูญ
- ชาวกระบุรีเดือดร้อนหนัก เหมืองแร่ฝั่งพม่าปล่อยน้ำสีขุ่น ผลกระทบรุนแรงยืดเยื้อ 4 ปี
- ภาพประกอบ สยามรัฐ
ผู้เขียน
หนุ่มน้อยผู้หลงรักความไม่สมบูรณ์แบบ ออกเดินทางเพื่อเก็บภาพความงดงามของธรรมชาติ และชอบอ่านวรรณกรรมเป็นชีวิตจิตใจ