ผลวิจัยชี้ รถยนต์ไฟฟ้าจะปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดอายุการใช้งานน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ดีเซล แม้ว่าไฟฟ้าดังกล่าวจะผลิตมาจากแหล่งเชื้อเพลิงที่ปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดก็ตาม
ในประเทศโปแลนด์ ซึ่งพลังงานไฟฟ้าส่วนใหญ่ผลิตจากถ่านหิน รถยนต์พลังงานไฟฟ้ายังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าราวร้อยละ 25 เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ดีเซล โดยคำนวณจากการวิเคราะห์วัฎจักรผลิตภัณฑ์ โดย VUB University ประเทศเบลเยียม
การลดการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในกริดไฟฟ้าของประเทศในสหภาพยุโรปนั้น มีตั้งแต่ประเทศที่ผลิตพลังงานได้สะอาดที่สุดอย่างสวีเดน ซึ่งลดการปล่อยแก๊สคาร์บอนฯ ได้ถึงร้อยละ 85 ไปจนถึงสหราชอาณาจักรที่ปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงราวร้อยละ 20
“โดยเฉลี่ยแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าจะปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่ารถยนต์ดีเซลราวครึ่งหนึ่งภายในปี ค.ศ. 2030 รวมถึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยระหว่างกระบวนการผลิต” Yoann Le Petit โฆษกของสถาบันคลังสมอง T&E ผู้สนับสนุนทุนวิจัยข้างต้นแสดงความเห็น
“เรากำลังเผชิญกับข่าวปลอมอย่างรุนแรงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยานพาหนะไฟฟ้าจะหยุดชะงักเนื่องจากอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่รายงานฉบับดังกล่าวยืนยันได้อย่างดี เพราะแม้แต่ประเทศโปแลนด์ซึ่งใช้พลังงานถ่านหินเป็นหลัก ยังสามารถลดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ได้ด้วยการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนดีเซล”
การศึกษาดังกล่าวใช้ระดับการปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ของสหภาพยุโรป โดยโปแลนด์จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 650 กรัมคาร์บอนต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับรายงานการคำนวณของสถาบันวิจัยร่วมแห่งสหภาพยุโรปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาดังกล่าวน่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะเป็นไปได้ว่าสหภาพยุโรปจะประกาศมาตรฐานการปล่อยแก๊สเรือนกระจกฉบับใหม่ ซึ่งอาจมีข้อเสนอที่เข้มข้นมากขึ้น
Miguel Canete คณะกรรมาธิการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหภาพยุโรป กล่าวในที่ประชุมสภาฯ ว่า “ทางเลือกหนึ่งที่เรากำลังมองหาคือการกำกับเพื่อให้มีสัดส่วนขั้นต่ำของยานพาหนะที่ปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ หรืออาจถึงขั้นไม่ปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เลย”
ปัจจุบัน มีเพียงรถยนต์ใหม่ที่จำหน่ายแล้วร้อยละ 1.7 เท่านั้นที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า และคำถามสำคัญของสหภาพยุโรปคือ ยุโรปมีแหล่งแร่ลิเธียมเพียงพอที่จะเพิ่มสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าให้เป็นร้อยละ 5 – 10 ของตลาดหรือไม่ในเร็ววันนี้ หลายคนยังตั้งข้อสงสัยถึงความสามารถในการขยายศักยภาพของโรงงานผลิตแบตเตอรี่
“คุณไม่มีทางเพิ่มยอดขายถล่มทลายของรถยนต์ไฟฟ้าหากไม่มีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่ใหญ่เพียงพอ” ตัวแทนของกรรมาธิการสหภาพยุโรปให้สัมภาษณ์ “และหากคุณคำนึงถึงการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิตแบตเตอรี่ รวมถึงการจ่ายกระแสไฟฟ้า สัดส่วนคาร์บอนที่ลดได้อาจไม่ดึงดูดมากนัก”
ผลการวิจัยโดย VUB University ระบุว่า ถึงแม้อุปทานของแร่สำคัญอย่างลิเธียม โคบอลต์ และกราไฟต์ ซึ่งเป็นสินแร่หายากจะต้องมีการกำกับดูแลและกระจายความเสี่ยง แต่ก็ไม่ได้เป็นข้อจำกัดสำคัญที่จะเปลี่ยนผ่านระบบการขนส่งสู่ระบบใหม่ที่สะอาดขึ้น
เมื่อเทคโนโลยีแบตเตอรี่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น และพลังงานหมุนเวียนเข้าสู่ระบบจ่ายไฟฟ้ามากขึ้น ผลการศึกษาระบุว่าการผลิตแบตเตอรี่จะสามารถลดการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงร้อยละ 65