ในสัปดาห์นี้ แอดมินชวนมาทำความรู้จักกับบรรดาสัตว์ป่าสงวนประเทศไทยทั้ง 21 ชนิด โดยแบ่งเป็น 3 สัปดาห์ ๆ ละ 7 ชนิด ซึ่งสัตว์ป่าสงวนไทย ถือว่าเป็นสัตว์ป่าที่หายาก ใกล้สูญพันธุ์ และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศ การได้รู้จักและเข้าใจถึงความสำคัญของสัตว์ป่าเหล่านี้ จะช่วยสร้างความตระหนักและเห็นคุณค่าของการอนุรักษ์สัตว์ป่ามากยิ่งขึ้น
ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ได้ให้ความหมาย ‘สัตว์ป่าสงวน‘ ไว้ว่า หมายถึง สัตว์ป่าหายากหรือสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ จำเป็นต้องสงวนและอนุรักษ์ไว้อย่างเข้มงวด
เดิมประเทศไทยมีสัตว์ป่าสงวนที่ประกาศตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ไว้ 15 ชนิด และวันที่ 29 พฤษภาคม 2562 ได้เพิ่มสัตว์น้ำอีก 4 ชนิด ให้เป็นสัตว์ป่าสงวนและตราพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ขึ้นมาใหม่ รวมเป็น 19 ชนิด
ต่อมาเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2567 ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าสงวน เพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้ตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เพิ่มอีก 2 ชนิด ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยมีสัตว์ป่าสงวนทั้งสิ้น 21 ชนิด ดังนี้
สัตว์ป่าจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม
1. กระซู่ (Sumatran Rhinoceros)
2. กวางผา (Burmese Goral)
3. กูปรี/ โคไพร (Kouprey)
4. เก้งหม้อ (Fea’s Muntjac)
5. ควายป่า (Wild Water Buffalo)
6. พะยูน (Dugong)
7. แมวลายหินอ่อน (Marbled Cat)
8. แรด (Javan Rhinoceros)
9. ละองหรือละมั่ง (Eld’s Deer)
10. เลียงผา (Sumatran Serow)
11. วาฬบรูด้า (Bryde’s Whale)
12. วาฬโอมูระ (Omura’s Whale)
13. วาฬสีน้ำเงิน (Blue Whale)
14. สมเสร็จ (Malayan Tapir)
15. สมัน (Schomburgk’s Deer)
สัตว์ป่าจำพวกนก
16. นกกระเรียนพันธุ์ไทย (Sarus Crane)
17. นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร (White-Eyed River Martin)
18. นกชนหิน (Helmeted Hornbill)
19. นกแต้วแร้วท้องดำ (Gurney’s Pitta)
สัตว์ป่าจำพวกสัตว์เลื้อยคลาน
20. เต่ามะเฟือง (Leatherback Sea Turtle)
สัตว์ป่าจำพวกปลา
21. ปลาฉลามวาฬ (Whale Shark)
เมื่อบทบาทเปลี่ยนไป ความเข้มข้นของการอนุรักษ์จึงเพิ่มมากขึ้น ข้อดีของการเป็นสัตว์ป่าสงวน คือบทลงโทษที่เพิ่มขึ้นและหนักขึ้นกว่าการเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง แม้สัตว์ป่าสงวนนั้นจะสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ แต่กฎหมายยังรวมถึงการห้ามผู้ใดครอบครองซากสัตว์ป่าสงวนด้วยเช่นกัน

เมื่อ Di แปลว่า ‘สอง’ cero แปลว่า ‘เขา’ rhinus แปลว่า ‘จมูก’ กระซู่จึงมีอีกชื่อว่า ‘แรด 2 นอ’
ชื่อไทย : กระซู่ / แรดสุมาตรา
ชื่อสามัญ : Sumatran Rhinoceros
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dicerorhinus sumatrensis
‘กระซู่’ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในกลุ่มสัตว์กีบคี่ อยู่ในวงศ์แรด ซึ่งมีทั้งหมด 4 สกุล 5 ชนิด แบ่งตามถิ่นอาศัย โดยกลุ่มแรดที่เป็นสัตว์พื้นเมืองของทวีปแอฟริกา ได้แก่ แรดดำ (Diceros bicornis) และแรดขาว (Ceratotherium simum) อีกสามชนิดที่เหลือเป็นสัตว์พื้นเมืองของเอเชียใต้ ได้แก่ แรดอินเดีย (Rhinoceros unicornis) แรด (Rhinoceros sondaicus) และกระซู่ (Dicerorhinus sumatrensis)
กระซู่นอกจากจะมีชื่อเล่นว่าแรดสองนอแล้ว ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘Hairy Rhino’ เนื่องจากกระซู่เป็นสัตว์ในวงศ์แรดชนิดเดียวที่มีขนปกคลุมทั่วร่างกาย
ลักษณะทั่วไป
กระซู่มีลักษณะหนังสีน้ำตาลแดง ขนสั้นสีเทาดำถึงน้ำตาลแดง มีรอยย่นพับอยู่ 3 แห่ง คือ บริเวณโคนขาหน้าด้านหนึ่งพาดผ่านไปยังโคนขาหน้าอีกด้านหนึ่ง บริเวณรอบเอว และบริเวณโคนขาหลังด้านหนึ่งผ่านสะโพกไปยังโคนขาหลังอีกด้านหนึ่ง กระซู่สามารถหนักได้ตั้งแต่ 400 ถึง 1,000 กิโลกรัม
พฤติกรรม
กระซู่มักหากินตัวเดียวตามลำพัง (ยกเว้นช่วงฤดูผสมพันธุ์) ตัวเมียมีอาณาเขตอย่างชัดเจน แตกต่างจากตัวผู้ที่มีอาณาเขตไม่แน่นอน กระซู่อาศัยอยู่ได้ทั้งในป่าดงดิบหรือที่ราบที่มีแหล่งน้ำ ลำธาร แม้แต่ไหล่เขาที่สูงชัน รวมถึงในพื้นที่ที่มีร่มไม้ และปลัก
อาหาร
กระซู่เป็นสัตว์กินพืช อาหารหลัก คือ ใบไม้ ต้นหญ้า พืชผัก ต้นอ่อนของพืช หรือต้นไม้ขนาดเล็ก รวมทั้งพืชที่ขึ้นริมน้ำ และผลไม้ชนิดต่าง ๆ
การสืบพันธุ์
ตัวเมียสามารถสืบพันธุ์ได้ตั้งแต่อายุ 4 ปีขึ้นไป ส่วนตัวผู้สืบพันธุ์ได้เมื่ออายุ 7 ปี ตัวเมียตั้งท้องนาน 14 ถึง 17 เดือน คลอดลูกครั้งละ 1 ตัว หลังจากคลอดลูกแล้วจะทิ้งช่วงประมาณ 4 ปี จึงสามารถตั้งท้องได้อีกครั้ง
ปัจจัยคุกคาม
สูญเสียถิ่นอาศัย จากการบุกรุกตัดไม้ในพื้นที่ที่มีกระซู่อาศัยอยู่ ทำให้กระซู่สูญเสียถิ่นอาศัยและพื้นที่หากิน ส่งผลให้จำนวนของกระซู่ในประเทศไทยลดลง จนสูญพันธุ์ไปในที่สุด
การล่าเพื่อเอานอ จากความเชื่อผิด ๆ ที่ว่านอแรดสามารถนำไปสกัดเป็นยาหรือทำเป็นเครื่องรางของขลังได้ ส่งผลให้จำนวนประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว
พฤติกรรมที่เชื่องช้า เนื่องจากกระซู่มักนอนแช่ปลักที่เดิมเป็นประจำและเคลื่อนที่ได้ช้า จึงทำให้เป็นที่สนใจของเหล่านักล่า
สถานภาพ
ปัจจุบันพบจำนวนประชากรกระซู่ทั่วโลกไม่ถึง 80 ตัว ซึ่งกระจายอยู่บนเกาะสุมาตราเท่านั้น ส่งผลให้สถานภาพของ IUCN Red List อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically Endangered) และสถานภาพการอนุรักษ์ในประเทศไทย (ONEP) นั้น นับว่ากระซู่ได้สูญพันธุ์ (Extinct) ไปเรียบร้อยแล้ว

‘กวางผา ม้าเทวดาแห่งขุนเขา’
ชื่อไทย : กวางผา
ชื่อสามัญ : Burmese Goral
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Naemorhedus evansi
ลักษณะทั่วไป
‘กวางผา’ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม กลุ่มแพะภูเขา รูปร่างคล้ายเลียงผาแต่มีขนาดเล็กกว่า ลำตัวมีขนสีน้ำตาลอมเทาและแถบสีน้ำตาลเข้มพาดกลางหลัง คอมีแต้มสีขาว และขนที่ปลายขาทั้งสี่สีขาว กวางผามีน้ำหนักประมาณ 22 ถึง 32 กิโลกรัม มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย แต่ในตัวผู้เขาจะมีลักษณะของฐานที่กว้างกว่า แหลมไปทางปลายและลู่ออกจากกัน ส่วนตัวเมียเขาจะมีลักษณะเรียวยาวโค้งลง ตรง และขนานกันทั้งสองข้าง
พฤติกรรม
กวางผามักหากินตัวเดียวตามลำพัง หรือบางช่วงจะอาศัยอยู่กันเป็นคู่หรือกลุ่มเล็ก ๆ (2 ถึง 6 ตัว) หากินในช่วงเช้าและเย็น กวางผาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีระดับความสูงและความลาดชันมาก หน้าผาเปิดโล่ง ลานหินผา ไร่ร้าง หย่อมป่าตามร่องเขา และสามารถพบได้ที่ระดับความสูง 1,000 ถึง 4,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล
อาหาร
กวางผาเป็นสัตว์กินพืช ได้แก่ ยอดไม้ และหญ้าเป็นหลัก รองลงมาเป็นไม้ล้มลุก ผลไม้ และใบไม้พุ่มเตี้ย ๆ
การสืบพันธุ์
กวางผาเข้าสู่วันเจริญพันธุ์ตอนอายุ 2 ถึง 3 ปี ผสมพันธุ์ในช่วงเดือน พฤศจิกายน ถึง ธันวาคม ระยะเวลาในการตั้งท้องอยู่ที่ประมาณ 6 ถึง 7 เดือน
ปัจจัยคุกคาม
สูญเสียถิ่นอาศัย จากการบุกรุกและตัดไม้ทำลายป่า นำมาซึ่งการสูญเสียถิ่นอาศัย และพื้นที่หากิน
การเลี้ยงปศุสัตว์ใกล้แนวเขตป่าอนุรักษ์ โดยเฉพาะวัวควาย ซึ่งเป็นสัตว์ที่อยู่ในวงศ์เดียวกับกวางผา สามารถแพร่กระจายเชื้อโรค และเกิดโรคระบาดในกวางผาได้
การล่ากวางผา เนื่องจากเป็นสัตว์ป่าหายาก และเป็นที่หมายปองของกลุ่มค้าสัตว์ป่า
ภาวะเลือดชิด (inbreeding) จากถิ่นอาศัยที่มีจำกัดและมีลักษณะคล้ายเกาะ ทำให้กวางผาไม่สามารถแลกเปลี่ยนพันธุกรรมกับพื้นที่อื่นได้
สถานภาพ
ปัจจุบันพบจำนวนประชากรกวางผาในไทยประมาณ 200 กว่าตัว กระจายตัวอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ 11 แห่ง ของ 3 กลุ่มป่าสำคัญ คือ กลุ่มป่าปาย-สาละวิน กลุ่มป่าแม่ปิง-อมก๋อย และกลุ่มป่าศรีลานนา-ขุนตาล และพบการกระจายตัวมากที่สุดใน ‘เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว’ สถานภาพการอนุรักษ์ในประเทศไทย (ONEP) อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically Endangered)

อะไรเอ่ย? มีรูปร่างคล้ายวัว แต่กลับมีเหนียงคอเป็นแผ่นยานอยู่ใต้คอ?
ชื่อไทย : กูปรี / โคไพร
ชื่อสามัญ : Kouprey
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bos sauveli
กูปรี เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในกลุ่มสัตว์กีบคู่ ตัวเมียลำตัวเป็นสีเทา ส่วนตัวผู้จะมีสีดำ ตอนยังเด็ก กูปรีมีขนตามตัวสีน้ำตาลอ่อนคล้ายลูกวัวแดง มีหนอกหลังเป็นสันกล้ามเนื้อบาง ๆ ไม่โหนกหนาเหมือนกระทิง มีลักษณะเด่นที่เหนียงคอเป็นแผ่นหนังห้อยยานอยู่ใต้คอ กูปรีตัวผู้ที่มีอายุมากเหนียงคอจะห้อยยาวเกือบติดพื้น ทำหน้าที่ช่วยระบายความร้อนได้
ขนาดตัวของกูปรีโดยเฉลี่ยแล้ว ตัวผู้จะตัวใหญ่และมีน้ำหนักมากกว่าตัวเมียมาก น้ำหนักตัวประมาณ 700 ถึง 900 กิโลกรัม กูปรีมีความยาวหางได้ถึง 1.11 เมตร ถือว่าเคยเป็นวัวป่าที่มีหางยาวที่สุดในประเทศไทย
พฤติกรรม
กูปรีมักจะใช้เขาขวิดต้นไม้ กิ่งไม้ ตามเส้นทางที่เดินผ่าน หรือขวิดคุ้นดิน เพื่อหาแหล่งน้ำหรือดินโป่งกินตามป่าโปร่ง
อาหาร
กูปรีเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องกินพืชเป็นอาหาร พืชอาหารหลัก คือหญ้าต่าง ๆ กูปรีสามารถหาอาหารร่วมกับสัตว์เคี้ยวเอื้องชนิดอื่นได้
การสืบพันธุ์
ฤดูผสมพันธุ์อยู่ในช่วงเดือนเมษายน ใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 9 เดือน คลอดลูกครั้งละ 1 ตัว ช่วงใกล้คลอด กูปรีแม่ลูกอ่อนจะแยกตัวออกจากฝูงเพื่อคลอดลูกและเลี้ยงลูกตามลำพังประมาณ 1 เดือน ก่อนจะพาลูกกลับเข้าฝูงดังเดิม
ปัจจัยคุกคาม
สภาวะสงครามในอดีต เนื่องจากพื้นที่ที่กูปรีอาศัยอยู่เป็นรอยต่อของชายแดน 3 ประเทศ
การสูญเสียถิ่นอาศัย จากการบุกรุกพื้นที่ป่า ทำให้กูปรีสูญเสียถิ่นอาศัยและพื้นที่หากิน
การค้าสัตว์ป่า กูปรีถูกล่าจากการนำชิ้นส่วนต่าง ๆ ไปเป็นเครื่องประดับ ทำของขลัง และยารักษาโรค ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้กูปรีลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว และสูญพันธุ์ในที่สุด
สถานภาพ
แม้สถานะใน IUCN Red List อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically Endangered) ซึ่งอาจมีการกระจายตัวอยู่ที่กัมพูชา และสปป.ลาวตอนใต้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีรายงานการค้นพบในประเทศเหล่านี้ แต่จากประชากรที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดนั้น คาดว่ากูปรีอาจสูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว

จากขนที่หนาคลุมเขากิ่งหน้าไว้ คล้ายกระจุกเล็ก ๆ บนหัว เก้งหม้อจึงมี ชื่อเล่นอย่างไม่เป็นทางการว่า ‘กวางเขาจุก’
ชื่อไทย : เก้งหม้อ เก้งดำ
ชื่อสามัญ : Fea’s Muntjac
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Muntiacus feae
เก้งหม้อหรือเก้งดำ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในกลุ่มของสัตว์เคี้ยวเอื้อง ประเทศไทยมีเก้ง 2 ชนิด คือ เก้งหม้อและเก้งธรรมดา ลักษณะเด่นของเก้งหม้อ คือ ขนบริเวณลำตัวมีสีน้ำตาลเข้มออกคล้ำ ส่วนท้องมีสีขาวจาง ๆ หางสั้นขนปกคลุม เก้งหม้อมีเขาเฉพาะตัวผู้ โดยลักษณะเขามี 2 กิ่ง กิ่งหน้าสั้นและกิ่งหลังยาว บริเวณเขากิ่งสั้นจะถูกขนหนาตรงโคนเขาคลุมไว้ ซึ่งดูเหมือนเป็นกระจุกเล็ก ๆ อยู่บนหัว
พฤติกรรม
เก้งหม้อมักอาศัยอยู่เดี่ยว ๆ ตามลำพังในป่าดงดิบบนที่ราบสูง หรือภูเขา มีขนาดพื้นที่หากินประมาณ 10 ตารางกิโลเมตร และออกหากินในช่วงเวลากลางวัน
อาหาร
เก้งหม้อเป็นสัตว์กินพืช พืชอาหารหลัก ได้แก่ ยอดไม้ และหญ้า รวมถึงใบไม้อ่อน เปลือกไม้ หน่อไม้อ่อน ผลไม้ และหญ้าระบัด
การสืบพันธุ์
เก้งหม้อจะอยู่เป็นคู่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ ตั้งท้องนานประมาณ 6 เดือน คลอดลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกเก้งหม้อจะมีจุดสีขาวตามลำตัว เก้งหม้อมีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12 ปี
ถิ่นอาศัย
เก้งหม้อมีการกระจายตัวในภาคตะวันตกและภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดตากจนถึงราชบุรี และสามารถพบเก้งหม้อในพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 0 ถึง 1,500 เมตร ตามป่าดงดิบ ที่ราบสูงหรือภูเขา
ปัจจัยคุกคาม
การล่า เพื่อนำเนื้อมาเป็นอาหาร หนัง และเขาของเก้งหม้อ ถูกนำไปทำเครื่องประดับ
สูญเสียถิ่นอาศัย จากการสร้างเขื่อน การบุกรุกป่า เพื่อลักลอบตัดไม้ทำลายป่าหรือการถางป่า เพื่อเตรียมพื้นที่การเกษตร ทำให้พื้นที่ป่าลดจำนวนลง ส่งผลให้ถิ่นอาศัยและพื้นที่หากินของเก้งหม้อลดลงตามไปด้วย
สถานภาพ
ปัจจุบันเก้งหม้อในประเทศไทยอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ (Endangered)

มหิงสา กับตำนานถิ่นอาศัยสุดท้ายในป่าห้วยขาแข้ง
ชื่อไทย : ควายป่า / มหิงสา
ชื่อสามัญ : Wild Water Buffalo
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bubalus arnee
ควายป่า หรือมหิงสา รูปร่างผิวเผินอาจดูคล้ายคลึงกับควายบ้าน แต่มีขนาดตัวที่ใหญ่กว่า รูปร่างกำยำล่ำสำ มีวงเขาตีโค้งกว้างกว่า และดุร้ายกว่าควายบ้านเป็นอย่างมาก ลำตัวมีสีเทาหรือสีน้ำตาลดำ ขาทั้งสี่มีสีขาวแต้มคล้ายใส่ถุงเท้าทั้งสี่ข้าง ท่อนล่างของลำตัวเป็นลายสีขาวรูปตัววี
พฤติกรรม
ควายป่ามีนิสัยดุร้าย มีความปราดเปรียว ว่องไว มีการสังเกตและรู้ถึงอันตรายที่เข้าใกล้ได้รวดเร็ว ควายป่าตัวผู้และควายป่าตัวเมียที่ยังไม่โตเต็มวัย จะอาศัยรวมอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ ส่วนตัวผู้ที่โตเต็มวัยมักจะอาศัยอยู่ตามลำพัง ตามป่าทุ่ง ป่าโปร่ง พื้นที่ที่มีหนองบึงและลำห้วยลำธาร
อาหาร
ควายป่าเป็นสัตว์กินพืช กินได้ทั้งหญ้า ยอดไม้ ใบไม้อ่อน หน่อไม้ รวมถึงต้นพงที่ขึ้นอยู่ตามริมลำห้วยขาแข้ง ก็เป็นเมนูโปรดของควายป่าเช่นกัน และยังมีการเสริมแร่ธาตุให้กับร่างกาย โดยการกินดินโปร่งที่มีแร่ธาตุต่าง ๆ ในการเสริมสร้างภูมิต้านทาน และช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ
การสืบพันธุ์
ควายป่าตัวผู้จะกลับเข้ามาอาศัยรวมฝูงกับควายป่าตัวเมียเพื่อผสมพันธุ์ ในช่วงเดือนตุลาคม ถึง พฤศจิกายน ถ้าในฝูงมีตัวผู้ที่ขนาดใหญ่มากกว่า 1 ตัว จะมีการต่อสู้เพื่อแย่งชิงตัวเมีย ตัวเมียใช้ระยะเวลาในการตั้งท้องประมาณ 10 เดือน
ถิ่นอาศัย
ควายป่าเคยอาศัยอยู่ตามป่าทุ่งโปร่ง พบได้เกือบทุกภูมิภาคในประเทศไทย ยกเว้นภาคใต้ แต่ปัจจุบันคงเหลืออยู่เพียงที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง พบการกระจายตัวตลอดแนวลำห้วยขาแข้ง โดยอยู่ห่างจากลำห้วยประมาณ 50 ถึง 100 เมตร พบเห็นได้บ่อยบริเวณ ห้วยแม่ดีทางใต้ หน่วยพิทักษ์ป่าเขาบันได ห้วยหินตั้งลงไปทางใต้จนถึงหน่วยพิทักษ์ป่ากรึงไกร มีประชากรรวมไม่ถึง 70 ตัว ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เป็นอย่างยิ่ง
ปัจจัยคุกคาม
สูญเสียถิ่นอาศัย จากการบุกรุกพื้นที่ป่า
การปล่อยปศุสัตว์ โดยเฉพาะวัวและควาย ให้เข้ามาหากินพืชอาหารในพื้นที่ป่าอนุรักษ์อย่างอิสระ ซึ่งวัวและควายเป็นสัตว์ที่อยู่ในวงศ์เดียวกับควายป่า อาจเกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรค และติดต่อมาสู่ควายปลาได้
สูญเสียลูกควายป่า จากการเป็นเหยื่อของเสือโคร่ง หรือจมน้ำตาย เมื่อเกิดน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่
ปัญหาเลือดชิด (Inbreeding) จากการผสมพันธุ์กันในเครือญาติ
สถานภาพ
สถานภาพการอนุรักษ์ในประเทศไทย (ONEP) ปัจจุบันควายป่าอยู่ในสถานะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically Endangered)

‘พะยูน ตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งไทย’
ชื่อไทย : พะยูน
ชื่อสามัญ : Dugong
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dugong dugon
พะยูนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ที่อาศัยอยู่ในทะเลบริเวณชายฝั่งน้ำตื้น ไม่ลึกมาก ลักษณะทางกายภาพ คือมีรูปทรงกระสวยคล้ายโลมา แต่อ้วนกลมกว่า ผิวหนังเรียบลื่น ลำตัวมีสีเทาอมชมพูหรือน้ำตาลเทา สี มีขนสั้น ๆ ตลอดลำตัว มีหางแฉก ซึ่งเป็นวิวัฒนาการให้พะยูนสามารถดำรงชีวิตอยู่ในน้ำได้
พฤติกรรม
พะยูนเป็นสัตว์ที่ตื่นตกใจง่าย ดำน้ำได้ลึกถึง 39 เมตร แต่ส่วนใหญ่จะดำน้ำอยู่ในระดับ 10 เมตร เนื่องจากต้องขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำทุก ๆ 2 ถึง 3 นาที โดยโผล่จมูกขึ้นมาเหนือผิวน้ำเล็กน้อย บางครั้งอาจจะโผล่ส่วนหลังและหางขึ้นมา พะยูนว่ายน้ำได้เร็วระดับ 1.8 ถึง 2.2 กม/ชม. อาศัยบริเวณพื้นที่ที่มีแนวหญ้าทะเล ในทะเลเขตร้อนและทะเลเขตกึ่งร้อน
อาหาร
พะยูนกินหญ้าทะเลชนิดต่าง ๆ และจะอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีหญ้าทะเลขึ้นอุดมสมบูรณ์ สามารถกินอาหารได้ตลอดเวลา เนื่องจากการมองเห็นที่ไม่ชัดเจนมากนัก พะยูนจะใช้จมูกดมกลิ่นในการหาอาหารและใช้หนวดในการสัมผัสสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
การสืบพันธุ์
พะยูนเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ประมาณอายุ 9 ถึง 10 ปี พะยูนตัวเมียตั้งท้องนาน 13 ถึง 14 เดือน คลอดลูกครั้งละ 1 ตัว และทิ้งระยะในการตั้งท้องนาน 3 ถึง 7 ปี
ปัจจัยคุกคาม
ขาดสารอาหาร เนื่องจากแหล่งอาหารหลักของพะยูนอย่างหญ้าทะเลลดน้อยลง
มลพิษทางทะเล จากขยะในทะเล รวมถึงมลพิษจากน้ำเสีย ทำให้หญ้าทะเลหลายพื้นที่เสื่อมโทรมและตายไป
อันตรายจากเรือประมง และเครื่องมือในการทำประมง
การล่าพะยูน เพื่อบริโภคหรือเพื่อนำอวัยวะบางอย่างไปทำเป็นเครื่องรางของขลังจากความเชื่อผิด ๆ
สถานภาพ
ปัจจุบันจำนวนประชากรพะยูนในประเทศไทยมีไม่ถึง 300 ตัว และอยู่ในสถานะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically Endangered)

แม้ชื่อเป็นแมว แต่ตัวเป็น ‘เสือ’
ชื่อไทย : แมวลายหินอ่อน
ชื่อสามัญ : Marbled Cat
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pardofelis marmorata
แมวลายหินอ่อนมีลักษณะคล้ายเสือลายเมฆ แต่มีขนาดเล็กกว่า ขนาดเฉลี่ยยังเล็กกว่าแมวดาว แต่รูปร่างล่ำกว่า ลําตัวสีน้ำตาลอ่อน มีแต้มสีน้ำตาลเข้ม ลักษณะคล้ายลายหินอ่อน และมีลายจุดกระจายทั่วไปโดยเฉพาะบริเวณขา หางยาว และมีขนหนาปกคลุม
พฤติกรรม
แมวลายหินอ่อนมีนิสัยค่อนข้างดุร้าย ออกหากินทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน มีความว่องไว และปีนต้นไม้เก่งมาก
อาหาร
แมวลายหินอ่อนเป็นสัตว์กินเนื้อ สามารถกินได้ทั้งกระแต กระรอก ลิงลม และลิงขนาดเล็ก รวมถึงนก สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก และแมลง พื้นที่หากินของแมวลายหินอ่อนประมาณ 5.3 ตารางกิโลเมตร
การสืบพันธุ์
จากการศึกษาแมวลายหินอ่อนในกรงเลี้ยง พบว่า แมวลายหินอ่อนตั้งท้องนานประมาณ 81 วัน คลอดลูกครั้งละ 1 ถึง 4 ตัว ลูกแมวแรกเกิดหนักประมาณ 100 ถึง 115 กรัม หูเริ่มตั้งเมื่ออายุได้ 5 วัน ลืมตาได้เมื่ออายุ 14 วัน และเมื่ออายุ 21 เดือน จะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ แมวลายหินอ่อนในกรงเลี้ยงที่อายุยืนที่สุดถึง 12 ปี
ถิ่นอาศัย
แมวลายหินอ่อนมักอาศัยอยู่ในป่าดงดิบชื้น ป่าดิบเขา ป่าเบญจพรรณ พบกระจายตัวอยู่ทั่วทุกภาคยกเว้นภาคเหนือของประเทศไทย
ปัจจัยคุกคาม
การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน จากการบุกรุกป่าที่อยู่อาศัยเปลี่ยนไปด้วยมลภาวะต่าง ๆ ส่งผลให้สัตว์ป่าเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัยทำให้จำนวนของแมวลายหินอ่อนลดลงไปตามสภาพเสื่อมโทรมของป่า
การสูญเสียถิ่นอาศัย จากการบุกรุกป่าเพื่อลักลอบตัดไม้เถื่อน การถางป่าเพื่อการเกษตร การเผาป่า ส่งผลให้แมวลายหินอ่อนสูญเสียถิ่นอาศัย และแหล่งอาหาร
การลักลอบล่าสัตว์ ส่งผลต่อการลดลงของจำนวนประชากรอย่างรวดเร็ว
สถานภาพ
สถานภาพการอนุรักษ์ในประเทศไทย (ONEP) ปัจจุบันอยู่ในสถานะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically Endangered)
อ้างอิง
- ฐานข้อมูลสัตว์ป่าเมืองไทย กลุ่มงานวิจัยสัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
- สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า
- ภาพวาดสัตว์ป่าสงวนไทยทั้ง 21 ชนิด โดย ฉันใด (ฉันใด)
ผู้เขียน
สาวแว่นทาสแมวที่ชอบบอกเล่าเรื่องราวผ่านลายเส้น มีธรรมชาติช่วยฮีลใจ และหลงใหลในพระจันทร์เสี้ยว