สาเหตุและผลกระทบของการเกิดไฟป่า

สาเหตุและผลกระทบของการเกิดไฟป่า

ไฟป่า (Wildfire) คือไฟที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงธรรมชาติ เช่น เศษดิน เศษหญ้า กิ่งไม้ และใบไม้แห้ง รวมไปถึงต้นไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่ภายในป่า (Forest) หรือสวนป่า (Urban Forest) จนเกิดไฟลุกไหม้ที่ปราศจากการควบคุม สามารถลุกลามต่อเนื่องไปได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่มีขอบเขต 

ไฟป่าสามารถเกิดได้เองตามธรรมชาติ แต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมากๆ ซึ่งในบางครั้งเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศป่าไม้เช่น ป่าเต็งรัง  ในต้นฤดูแล้งใบไม้ในป่าจะพร้อมใจกันผลัดใบเป็นสีแดง เหลือง ส้ม อย่างสวยงาม แล้วจะสลัดใบทิ้งจนหมดกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี เพื่อเป็นการคัดเลือกพันธุ์ไม้และทำให้พืชบางชนิดมีเปลือกเมล็ดที่ แข็งเกิดการงอกของต้นอ่อนทันที เป็นการช่วยในการขยายพันธุ์ของพืชจำพวกนี้

ในต่างประเทศ ปัจจัยทางธรรมชาติที่สามารถเกิดได้หลายรูปแบบ สิ่งที่สามารถเป็นประกายไฟได้เด่นชัดที่สุด คือ ฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นโดยไม่มีฝนตกร่วม เช่น ปรากฏการณ์ฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นราว 11,000 ครั้งทางตอนเหนือและตอนกลางของรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อปี 2020 เนื่องจากป่าช่วยจำกัดอุณภูมิโลกที่สูงขึ้นด้วยการเก็บกักคาร์บอนที่เป็นตัวการที่ทำให้โลกร้อนขึ้นเอาไว้ ดังนั้นแล้ว การเกิดฟ้าผ่ามากขึ้นอาจทำให้เกิดวงจรที่เลวร้าย เมื่อต้นไม้และผืนดินที่ติดไฟปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ส่งผลให้ยิ่งมีโอกาสเกิดพายุบ่อยขึ้น ซึ่งนั่นก็อาจทำให้เกิดฟ้าผ่าบ่อยขึ้นซ้ำอีกด้วย

ทั้งนี้ สาเหตุหลักของไฟป่าที่พบในปัจจุบันนั้นมักเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การลอบวางเพลิง การตั้งแคมป์กองไฟที่ไม่ได้รับการดูแล สามารถเกิดได้จากสิ่งเล็กๆ อย่างก้นบุหรี่ที่ยังไม่ได้ดับรวมถึงการเผาขยะ และจุดเพื่อเหตุผลทางการเกษตร จนลามจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง จากการลามของเชื้อไฟหรือถูกกระแสลมพัดเอาเศษซากเชื้อไฟกระจายไปยังพื้นที่ป่าใกล้เคียงได้

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันได้มีการพิจารณาบทบาทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่ามีส่วนทำให้ไฟป่ามีความเลวร้ายลงมากขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น และช่วงฤดูแล้งยาวนานขึ้น รูปแบบหยาดน้ำฟ้า (Precipitation) ที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยที่พื้นผิวโลกสูงขึ้น การระเหยจะเกิดมากขึ้น ซึ่งในทางกลับกันปริมาณน้ำฝนโดยรวมจะเพิ่มขึ้น แต่ส่งผลพืชพรรณในบางพื้นที่นั้นแห้งมากขึ้นและเสี่ยงต่อการติดไฟมากขึ้น และฤดูของไฟป่าก็ยาวนานขึ้นจากความแห้งของอากาศ สิ่งนี้นำไปสู่ไฟป่าที่ใหญ่ขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้นซึ่งยากต่อการจัดการ

ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลต่อไฟป่านั้น ปรากฏชัดในฤดูไฟป่าของออสเตรเลียระหว่างปี 2019-2020 หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ฤดูร้อนสีดำ’ (Black summer) และไฟป่าที่เกิดขึ้นในโปรตุเกสในปี 2017 ถือเป็นสองตัวอย่างที่น่าสนใจของภัยคุกคามจากไฟป่าทั่วโลก ในประเทศออสเตรเลีย สภาพอากาศแห้งแล้งเป็นเวลานาน อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น และลมแรงจัด ส่งผลให้เกิดสภาวะระเบิดที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ ที่สร้างความเสียหายร้ายแรง ไฟเหล่านี้เผาผลาญพื้นที่กว่า 100 ล้านไร่ ทำลายบ้านเรือนหลายพันหลัง และก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมีนัยสำคัญ ภัยพิบัติครั้งนั้นเน้นย้ำถึงอิทธิพลอันลึกซึ้งของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อความถี่และความรุนแรงของไฟป่า 

ไฟป่าจากมุมมองเมืองแคนเบอร์รา ออสเตรเลีย

ในทำนองเดียวกัน ในปี 2017 โปรตุเกสต้องทนทุกข์ทรมานจากไฟป่าที่ลุกลามไปทั่วภาคกลางและภาคเหนือ ไฟเหล่านี้มีสาเหตุมาจากภัยแล้งที่รุนแรง อุณหภูมิสูง และการแพร่กระจายของต้นยูคาลิปตัสที่ติดไฟได้ง่าย เนื่องจากการจัดการที่ดินที่ไม่ดีของภาครัฐ ผลพวงของไฟป่าเหล่านี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 100 ราย และกระตุ้นให้ประเทศต้องยกเครื่องกลยุทธ์การจัดการและเตรียมความพร้อมด้านไฟป่า โศกนาฏกรรมหนนั้นได้เน้นย้ำถึงผลกระทบร้ายแรงจากไฟป่า และปัจจัยทางธรรมชาติและมนุษย์ที่ก่อให้เกิดไฟป่าที่มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมการจัดการป่าไม้และบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เมื่อเกิดไฟป่า การสูญเสียทางนิเวศวิทยาที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือทรัพยากรป่าไม้ รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพอันกว้างใหญ่ภายในแหล่งที่อยู่อาศัยเหล่านี้ พืชและสัตว์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นและไม่สามารถทดแทนได้ ต้องเผชิญกับการสูญพันธุ์ ทำลายระบบนิเวศ และนำไปสู่ความไม่สมดุลของระบบนิเวศในระยะยาว ดินซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของระบบนิเวศป่าไม้ เผชิญกับความเสื่อมโทรม สูญเสียความอุดมสมบูรณ์และอินทรียวัตถุ

การสูญเสียนี้เพิ่มความเสี่ยงจากการกัดเซาะและลดความสามารถในการฟื้นฟูของที่ดิน ป่าไม้มีบทบาทสำคัญในการกักเก็บคาร์บอน แต่ไฟป่าส่งผลกระทบต่อการทำงานนี้โดยการปล่อยคาร์บอนที่สะสมออกสู่ชั้นบรรยากาศ ส่งผลให้วิกฤตสภาพภูมิอากาศโลกรุนแรงขึ้น ในเวลาเดียวกัน หน้าที่สำคัญในการควบคุมวัฏจักรของน้ำในท้องถิ่นและระดับภูมิภาคจะหยุดชะงัก ส่งผลต่อรูปแบบของการตกตะกอนและคุณภาพน้ำ 

ความกังวลเร่งด่วนที่สุดสำหรับสัตว์ป่าคือการสูญเสียถิ่นที่อยู่ ซึ่งบังคับให้พวกมันต้องหนีไปยังพื้นที่แห่งใหม่ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกล่า ความอดอยาก และความขัดแย้งกับมนุษย์ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากอันตรายที่เกิดขึ้นในทันทีเหล่านี้ ผลที่ตามมาของไฟป่ายังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่สำคัญของสัตว์ป่าอีกด้วย เนื่องจากอาจประสบปัญหาระบบทางเดินหายใจเนื่องจากการสูดดมควันและเถ้าถ่าน ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับความเครียด และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และการเข้าถึงน้ำสะอาดและอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ลดลง 

ไฟป่ามีผลกระทบต่อสุขภาพหลายประการต่อมนุษย์ ปัญหาระบบทางเดินหายใจเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในวงกว้างและเกิดขึ้นทันที ควันไฟป่าเป็นส่วนผสมที่ซับซ้อนของฝุ่นละออง คาร์บอนมอนอกไซด์ สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย และมลพิษที่เป็นอันตรายอื่นๆ ที่อาจทำให้โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease หรือ COPD) และโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ แย่ลง 

ผลพวงของไฟป่าอาจทำให้แหล่งน้ำปนเปื้อนสารเคมีและเศษขยะ ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างรุนแรงต่อมนุษย์และสัตว์ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคทางน้ำและส่งผลกระทบต่อน้ำดื่มและแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของระบบนิเวศ ซึ่งอาจส่งผลให้มนุษย์และสัตว์ป่าเผชิญหน้ากันบ่อยขึ้น ส่งผลให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคจากสัตว์สู่คนได้ นอกจากนี้ การทำลายสิ่งกีดขวางทางธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สามารถขัดขวางรูปแบบของโรคที่มีแมลงเป็นพาหะ ซึ่งอาจนำไปสู่การระบาดของโรคต่าง ๆ เช่น ไวรัสเวสต์ไนล์ (West Nile Virus) โรคไลม์ (Lyme disease) การติดเชื้ออื่น ๆ ที่ติดต่อโดยยุง เห็บ และหมัด

ไฟป่ามีผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง อาทิการสูญเสียไม้มีค่าทางเศรษฐกิจและทรัพยากรป่าไม้อื่นๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชุมชนท้องถิ่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะต้องปรับปรุงเช่นกัน ผลกระทบของไฟลุกลามไปไกลกว่าพื้นที่ป่า เนื่องจากทรัพย์สิน บ้าน และโครงสร้างพื้นฐานถูกทำลาย นำไปสู่ความยากลำบากทางการเงินและทางอารมณ์สำหรับบุคคลและชุมชน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาวเป็นสิ่งที่ท้าทาย โดยต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในการฟื้นฟูและการปลูกป่า และมักจะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจะฟื้นตัวเต็มที่

ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้กับไฟเกิดขึ้นเพิ่มเติม อาทิ การจัดบุคลากรดับเพลิง เฮลิคอปเตอร์ และยานพาหนะภาคพื้นดิน ตลอดจนการบำรุงรักษาและใช้งานอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ความพยายามทั้งทางร่างกายและจิตใจของนักดับเพลิงพร้อมทั้งทีมสนับสนุน มีความเสี่ยงตลอดภารกิจจากการบาดเจ็บและเสียชีวิต

สำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน ได้มีการออกกฎหมายการเผาป่าในเขตอุทยานซึ่งมีโทษหนัก จำคุกสูงสุด 20 ปี ปรับสูงสุด 2 ล้านปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แจ้งเตือน หากจุดไฟแล้วเกิดลุกลามเข้าพื้นที่ป่า จะเป็นการตั้งใจหรือไม่ก็ตาม จะได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ บุคคลใดเผาป่าในอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน สวนพฤกษศาสตร์หรือสวนรุกขชาติ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี หรือปรับตั้งแต่ 400,000-2,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562

อ้างอิง 

ผู้เขียน

+ posts

ชายหนุ่มผู้หลงไหลในกาแฟไม่ใส่น้ำตาล รักการเดินทางไปกับสินค้าของแบรนด์ Patagonia