‘ตัวลิ่น’ สัตว์ที่ถูกล่ามากที่สุดในโลก

‘ตัวลิ่น’ สัตว์ที่ถูกล่ามากที่สุดในโลก

ตัวลิ่น (Pangolins) หรือตัวนิ่ม ‘ตัวกินมดที่มีเกล็ด’ (scaly anteaters) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงชนิดเดียว ที่มีเกล็ดห่อหุ้มผิวหนังคิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักตัว ดำรงอยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์มานานราว 80 ล้านปี เกล็ดของตัวลิ่นประกอบด้วยสารเคราตินเช่นเดียวกับเล็บและเส้นผมของเรา หลายสายพันธุ์อาศัยอยู่บนต้นไม้ ห้อยลงมาจากกิ่งก้านโดยใช้หางยักษ์ อีกทั้งยังสามารถว่ายน้ำได้ในระยะทางไกลและสามารถขุดโพรงได้ลึกกว่า 40 เมตร 

ถิ่นอาศัยของตัวลิ่นมีความหลากหลายอย่างมาก กระจายตัวอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ของเอเชียและทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาร่าในแอฟริกา ออกหากินในเวลากลางคืน รูปลักษณ์ที่แปลกตา ทำให้ตัวนิ่มเป็นหนึ่งในสัตว์ที่มีคนไม่รู้จักมากที่สุดในโลก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในสัตว์ที่ถูกล่าและมีความต้องมากที่สุด ในปัจจุบันตัวนิ่มยังเผชิญกับภัยคุกคามร้ายแรงต่อการอยู่รอด แม้ว่าจะมีกฎหมายคุ้มครองก็ตาม 

ตัวลิ่นเป็นสัตว์ที่มีลักษณะขี้อายมักอาศัยอยู่ตามลำพังและออกหากินในเวลากลางคืนส่งผลให้พบเห็นและสำรวจพฤติกรรมได้ยาก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับการฟื้นฟูประชากร พวกมันมีประสาทรับกลิ่นที่ดีมากเพื่อค้นหาแหล่งอาหารหลัก อาทิ มด ปลวก และมีลิ้นที่อาจยาวกว่าลำตัว  

ตัวลิ่นสามารถม้วนตัวเป็นก้อนแน่นเมื่อรู้สึกว่าถูกคุกคาม โดยมีเกล็ดแข็งทับซ้อนกันปกคลุมตั้งแต่หัวจรดหาง ซึ่งเป็นกลไกการป้องกันผู้ล่าตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตามเกล็ดของพวกมันสามารถหลุดออกอย่างง่ายดายเมื่อนำไปลวก ในวัฒนธรรมเอเชียมักจะนำเกร็ดมาทำเป็นยาแผนโบราณ อาทิ สรรพคุณในการบำรุงสตรีที่มีประจำเดือน กระตุ้นการให้นมบุตร การรักษาโรคไขข้ออักเสบ และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศชั้นดีจากการบริโภคเนื้อ ซึ่งถูกใช้ในการแพทย์แผนจีนเป็นเวลาหลายพันปี ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อะไรที่จะอธิบายถึงสรรพคุณที่แท้จริง เนื่องจากการบริโภคเกล็ดของมันก็ไม่ต่างอะไรกับการกินเล็บหรือผมมนุษย์ 

ตัวลิ่นทั้ง 8 สายพันธุ์ตามที่สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ขั้นวิกฤต สาเหตุหลักที่อยู่เบื้องหลังการลดลงคือการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายและการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัย แม้ว่าอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) จะห้ามการค้าตัวลิ่นและผลิตภัณฑ์ระหว่างประเทศ แต่ตลาดมืดยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องเนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอในหลายภูมิภาค 

คาดการณ์ว่าตัวลิ่นมากกว่าหนึ่งล้านตัวจะถูกนําออกจากป่าตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 โดยการลักลอบล่าสัตว์เพื่อการค้าในตลาดเอเชียถือเป็นสาเหตุหลักของการลดลงของประชากร คาดว่าสูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ในบางชนิดพันธุ์ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะลดลงอีก 80 เปอร์เซ็นต์ ในอีกสองทศวรรษข้างหน้า 

ด้วยเหตุนี้เอง ตัวลิ่นจึงถูกเชื่อว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีการล่ามากที่สุดในโลก อัตราที่สัตว์เหล่านี้มีการซื้อขายข้ามพรมแดนระหว่างประเทศมีความผกผันเป็นอย่างมาก มีการประมาณการว่าโดยเฉลี่ยมีตัวลิ่นประมาณ 100,000 ตัว ถูกชำแหละส่งไปยังจีนและเวียดนามทุกปี 

ในปัจจุบันองค์กรณ์สิ่งแวดล้อมมีความพยายามหลายอย่างเพื่อปกป้องตัวลิ่น รวมถึงความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมายระดับชาติ การอนุรักษ์ถิ่นที่อยู่ และโครงการฟื้นฟู ตัวลิ่นที่ได้รับการช่วยเหลือจะถูกส่งไปยังศูนย์เฉพาะทางเพื่อรับการดูแลจนกว่าตัวลิ่นจะพร้อมนำกลับคืนสู่ธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม กระบวนการฟื้นฟูค่อนข้างท้าทายเนื่องจากอาหารที่เฉพาะทาง และความเปราะบางต่อสภาวะเครียดและความเจ็บป่วย 

แม้ว่าจะมีการพยายามปกป้องตัวลิ่น แต่อนาคตของพวกมันก็ยังไม่แน่นอน การค้าตัวลิ่นอย่างผิดกฎหมายนั้นได้รับแรงผลักดันจากหลักปฏิบัติทางวัฒนธรรมและผลกำไรที่สูง ทำให้เกิดความท้าทายที่ซับซ้อนและต่อเนื่องในการเอาชนะ ความร่วมมือระหว่างประเทศและการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าอย่างจริงจังยิ่งขึ้นถือเป็นสิ่งสำคัญ 

ชะตากรรมการถูกล่าของตัวลิ่มนั้นได้แสดงถึงประเด็นที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับการอนุรักษ์สัตว์ป่าและผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ต่อความหลากหลายทางชีวภาพ การสร้างกฎหมายและกลไกการบังคับใช้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้บรรลุการอนุรักษ์ที่มีประสิทธิผล นอกจากนี้ จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติทางวัฒนธรรมต่อสัตว์ป่าและธรรมชาติ การจัดลำดับความสำคัญของแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนและการเคารพสัตว์ป่า  

อ้างอิง  

ผู้เขียน

+ posts

ชายหนุ่มผู้หลงไหลในกาแฟไม่ใส่น้ำตาล รักการเดินทางไปกับสินค้าของแบรนด์ Patagonia