ป่า เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสรรพชีวิตมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พืชพรรณธรรมชาติ สัตว์ป่า รวมถึงมนุษย์เราด้วย ทุกชีวิตต่างก็ต้องพึ่งพิงป่ากันทั้งสิ้น
ทว่าปัจจุบันพื้นที่ป่าเริ่มลดลงเรื่อย ๆ สาเหตุหลักเกิดจากความต้องการอันไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ ทั้งการรุกล้ำพื้นที่ป่าเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย การลักลอบตัดไม้ทำลายป่า การล่าสัตว์ ตลอดจนการสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่อย่างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำ ที่กินพื้นที่ป่าไปตั้งมากมาย
หลายครั้งเราเรียกร้องให้ช่วยกันอนุรักษ์ผืนป่าเอาไว้ ทั้งรณรงค์และปลูกฝัง รวมถึงพูดถึงพูดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นหากเราไม่มีป่า แต่ก็ไม่สามารถดึงคนมาสู่จุดยืนร่วมกันได้ นั่นอาจเป็นเพราะ เรายังไม่รู้จักคุณค่าของมันและมีปฏิสัมพันธ์กับมันมากพอหรือเปล่า เราเลยยังไม่เข้าใจว่า เราจะอนุรักษ์มันไปทำไม
“การที่เราจะอนุรักษ์สิ่งใดไว้ได้นั้น เราต้องเรียนรู้ที่จะรักมันจริง ๆ เสียก่อน”
การเข้าใจความสำคัญของป่าคือประตูด่านแรกสู่การรัก(ษ์)ป่า
สิ่งแรกที่จะทำให้เรารักป่าได้คือ เราต้องเห็นถึงความสำคัญของมัน และเห็นถึงความสัมพันธ์ของเรากับป่าไม้เสียก่อน เพราะมันจะเป็นจุดเชื่อมคนกับป่าเข้าหากัน โดยเราจะพาไปเข้าใจผ่านแนวคิด “ป่าคือชีวิต การไม่มีป่าคือการไม่มีชีวิต”
ประการแรก ป่าเป็นมากกว่าแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์ป่า แต่ป่าเป็นมากกว่านั้น ป่าเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต เนื่องจากป่าเป็นแหล่งกำเนิดแม่น้ำลำธารหลายสายที่ไหลผ่านพื้นที่ต่าง ๆ ป่าที่เป็นแหล่งต้นน้ำทำหน้าที่ซึมซับน้ำลงใต้ดินและส่งต่อน้ำเหล่านั้นลงสู่แม่น้ำลำคลอง เพื่อไปหล่อเลี้ยงทุกชีวิตเพราะทุกชีวิตขาดน้ำไม่ได้ กล่าวได้ว่า “การมีป่า ย่อมมีน้ำ การมีน้ำ หมายถึงการมีชีวิต”
นอกจากนี้ป่ายังเปรียบเสมือนเครื่องฟอกอากาศของประเทศ โดยผืนป่าดูดซับมลพิษและฝุ่นควันเข้าไป และแลกเปลี่ยนอากาศบริสุทธิ์ออกมาให้สิ่งมีชีวิตได้หายใจ การไม่มีป่าจึงหมายถึงการที่เราจะไม่มีอากาศสะอาดให้เราได้หายใจ “ยิ่งป่าลดลงไปมากเท่าไหร่ เราก็ต้องสูดอากาศที่เต็มไปด้วยมลพิษมากขึ้นเท่านั้น”
ประการท้ายสุด ป่าเป็นปราการธรรมชาติสำคัญที่คอยปกป้องเราจากภัยพิบัติต่าง ๆ ป่าบกช่วยปกป้องเราจากฝนตก ดินโคลนถล่ม น้ำป่าไหลหลาก และการกัดเซาะหน้าดิน ป่าชายเลนเองก็ช่วยปกป้องเราจากคลื่นลมทะเล ในวันที่คลื่นแรงต้นไม้ในป่าเหล่านี้จะชะลอความแรงของคลื่น เพื่อกระทบต่อชายฝั่งให้น้อยที่สุด “ป่าคือโล่ปกป้องชีวิตเราจากภัยพิบัติทางธรรมชาติมากมาย”
ความสำคัญของผืนป่าที่ได้กล่าวไป เป็นจุดเชื่อมให้มนุษย์ได้หวนกลับมามองคุณค่าและความสัมพันธ์ที่มันมีต่อมนุษย์ นั่นเองจึงทำให้เรารู้จักที่จะรักและปกป้องในสิ่งที่สำคัญต่อตัวเรา
เรารู้จักกับการอนุรักษ์ ก็ต่อเมื่อเรารักมันจริง ๆ
การเรียนรู้คุณค่าและความสำคัญของผืนป่าเป็นเพียงประตูด่านแรกที่จะทำให้เราได้รู้จักป่ามากขึ้น แต่นั้นอาจยังไม่เพียงพอสำหรับการที่จะให้คนเริ่มอนุรักษ์กันจริง ๆ
สิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกที่อยากจะอนุรักษ์ผืนป่าเอาไว้ นอกจากการเรียนรู้คุณค่าในตัวมันแล้ว ตัวเราเองก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับป่าด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันผู้คนห่างไกลจากผืนป่าและธรรมชาติเนื่องด้วยความเป็นเมืองที่เพิ่มมากขึ้น เหตุนี้เองทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับป่าแย่ลง
ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยให้ความสัมพันธ์ดังกล่าวกลับมาดีขึ้นได้ คือ เราต้องเข้าไปมีประสบการณ์กับป่าให้มากขึ้น
คำถาม คือ เราจะทำอย่างไรให้คนมีประสบการณ์กับป่าไม้ได้ การส่งเสริมให้ผู้คนออกไปท่องเที่ยวหรือใช้เวลาวันหยุดกับผืนป่ามากขึ้น เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีในการฟื้นฟูความสัมพันธ์นี้ การได้ออกมาเห็น ออกมาสัมผัสมันจริง ๆ จะทำให้ผู้คนได้ใกล้ชิดกับป่าและธรรมชาติ
ยิ่งเราได้เรียนรู้และใกล้ชิดผืนป่า นั้นยิ่งทำให้เราได้มองเห็นความสำคัญของผืนป่า และมองเห็นการพึ่งพาอาศัยกันอย่างเป็นเครือข่ายของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่ในป่า รวมถึงตัวมนุษย์เองด้วย
ปัจจุบันมีการท่องเที่ยวที่สนับสนุนให้ผู้คนออกไปเที่ยวในพื้นที่ธรรมชาติมากขึ้น อย่างการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเรียนรู้และทำความเข้าใจกับธรรมชาติ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่ได้ไปเที่ยวออกมานั้นก็จะเกิดความรู้สึกรักและอยากจะปกป้องผืนป่า อันเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของมนุษย์เอาไว้
คงเป็นเรื่องดีถ้าผู้คนเริ่มเกิดความรู้สึกที่ดีต่อผืนป่ามากขึ้น ในอนาคตเราอาจมีโอกาสได้เห็นรูปแบบการอนุรักษ์ผืนป่าอย่างยั่งยืนเพิ่มมากขึ้นก็ได้
อ้างอิง
ผู้เขียน
หนุ่มน้อยผู้หลงรักความไม่สมบูรณ์แบบ ออกเดินทางเพื่อเก็บภาพความงดงามของธรรมชาติ และชอบอ่านวรรณกรรมเป็นชีวิตจิตใจ