“แม่คะ… หนูไม่อยากไป”
เท่าที่จำได้ นั่นคือประโยคที่ฉันตอบแม่ไปเมื่อสามวันก่อน หลังจากถูกเชิญชวนให้ไปเที่ยวเป็นครอบครัวในวันหยุดยาวช่วงหนึ่งในฤดูหนาวของประเทศไทย
จริง ๆ ก็ไม่รู้ว่า การใช้คำว่าเชิญชวนในที่นี้เหมาะสมแล้วรึเปล่า หรือจริง ๆ แล้วควรใช่คำว่า บังคับถึงจะถูก
ที่บอกแบบนั้นก็เพราะว่า ถึงฉันจะบอกปฏิเสธไปอย่างนั้น แต่สุดท้ายตอนนี้ฉันก็ติดอยู่ในรถไซส์ครอบครัวกับพ่อที่เป็นคนขับ แม่ที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ และฉันกับพี่สาวอีกสองคนที่อัดกันอยู่เบาะหลัง (ซึ่งก็ไม่ได้เต็มใจมาซะทีเดียว)
ดอยอินทนนท์ นั่นคือชื่อปลายทางของเราในวันนี้ ซึ่งฉันก็ไม่ได้รู้จักมาก่อนหรอก ได้ยินชื่อครั้งแรกก็จากปากแม่ฉันเมื่อสามวันก่อนเนี่ยแหละ ไม่เคยรู้จักและไม่ได้สนใจจะรู้จัก สิ่งที่อยากรู้ตอนนี้ คือ ฉันต้องนั่งรถขึ้นเขาอีกไกลแค่ไหนจึงจะถึงที่พักสักที
รถยังคงแล่นขึ้นเขาตามทางไปเรื่อย เราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า ตอนนี้พ่อบอกว่าเรามากันได้เกินครึ่งทางแล้ว
สายตาฉันทอดออกไปไกลผ่านกระจกข้างของรถ แต่ไม่ว่าจะมองไปไกลแค่ไหน ฉันก็เห็นแค่สิ่งเดียวนั้นคือ ต้นไม้…
แน่ล่ะ เรากำลังอยู่ระหว่างทางขึ้นดอยที่สูงที่สุดของประเทศไทยนี่นะ ฉันจะหวังให้มองออกไปแล้วเจอตึกสูงระฟ้าเหมือนในเมืองก็ไม่ใช่เรื่อง
“เปิดกระจกกันดีมั้ย ?” ประโยคที่พึ่งออกจากปากพ่อ อาจฟังดูเหมือนประโยคคำถาม แต่จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบจากใครพ่อก็ทำตามที่พูดทันที
ใครจะตอบกันล่ะ เพราะตอนนี้พี่ทั้งสองคนและแม่ฉันต่างก็พากันหลับไปหมดแล้ว เหลือก็แค่ฉันที่นั่งเมารถข่มตานอนไม่ลงอยู่คนเดียว
ลมเย็นตีผ่านกระจกข้างคนขับเข้ามากระทบกับฉันที่นั่ง
ก็ดีนะอย่างน้อยก็สดชื่นกว่าลมแอร์
ฉันตัดสินใจเปิดกระจกลงเพื่อรับลมเย็นธรรมชาติ และได้รับความผ่อนคลายเป็นครั้งแรกของวัน
จริง ๆ แล้วการเปิดกระจกรถมันคงไม่ใช่แค่นั้น มันคงเป็นเหมือนการเปิดใจให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติอีกครั้งในรอบ… ไม่รู้สิ ไม่รู้ว่ากี่ปีมาแล้ว ที่ไม่ได้เก็บเกี่ยวความสุขจากธรรมชาติแบบนี้
ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวิดีโอตัวเอง และวิวป่าที่รถขับผ่านก่อนจะปิดกระจกข้างตัวเองลง ส่วนพ่อก็ปิดลงตาม ๆ กัน เพราะเริ่มรู้สึกหนาว (ไม่คิดว่าจะได้ใช่คำว่าหนาวในประเทศไทยมาก่อน) ฉันก้มหน้าปรับแต่งวิดีโอในโทรศัพท์จนพอใจ และกดเข้าแอปพลิเคชั่นหนึ่งเพื่อจะโพสต์ลงโซเชียล แต่อะไร ๆ บนเขามันก็ไม่ได้ปกติเหมือนในเมือง…
“ป๊า… ที่นี่ไม่มีเน็ตหรอ ?”
อะไร ๆ ที่ฉันว่าไม่ปกตินั้นก็คือที่นี่ไม่มีอินเตอร์เน็ตนั่นแหละ
“บนเขาแบบนี้ปกติก็ไม่มีหรอก”
พ่อฉันบอกว่าปกติ ส่วนฉันบอกว่าไม่ปกติ
สรุปที่นี่มันปกติรึเปล่า ?
ฉันเก็บโทรศัพท์ก่อนจะนิ่งไป สายตาทอดมองวิวป่าข้างทางเหมือนเดิม ก่อนจะกลับมานึกเรื่องความสงสัยเมื่อครู่ที่ฉันเองก็ตอบไม่ได้ว่า จริง ๆ ที่นี่ความไม่สะดวกสบายแบบนี้ มันเรียกว่าปกติได้มั้ย
จะตอบได้ยังไงในเมื่อฉันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า ความปกติ หรือ แม้แต่ว่าความสะดวกสบายใช้อะไรมาวัดกัน คิดให้ตายก็คิดไม่ตก สุดท้ายขอตอบตัวเองแบบง่าย ๆ ว่า แล้วแต่คนเลยละกัน… มีแบบไหนก็ปกติแบบนั้น ง่ายแค่ไหนก็สะดวกแค่นั้น
ฟังดูงง ๆ แต่คำตอบแบบนี้ก็ทำให้ฉันใช้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ
ฉันหลับไปราวสองชั่วโมงตื่นมาก็ถึงที่พักพอดี ที่หลับไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพลียหรืออาการเมารถดีขึ้นเพราะพ่อตัดสินใจปิดแอร์แล้วแง้มกระจกเปิดรับอากาศธรรมชาติกันแน่ แต่ก็นั่นแหละ เอาเป็นว่าดีแล้วที่ได้พักบ้าง สงสารก็แต่คนขับคงเพลียน่าดู…
ที่พักของเราในครั้งนี้คือบ้านพักทหารที่พ่อติดต่อผ่านเพื่อนของพ่อที่ประจำการอยู่ที่นี่
พวกเราทุกคนทยอยขนของลงจากรถไปที่ห้องพักซึ่งเป็นห้องนอนรวม
รวมในที่นี้คือครอบครัวฉันห้าคนรวมหนึ่งห้อง
ในห้องไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่เท่าที่รู้สึกถึงความหนาวตอนนี้ แอร์คือสิ่งไร้ค่าของที่นี่ไปเลย
สมองกำลังจะคิดว่าห้องพักแบบนี้มันไม่โอเค มันไม่ปกติ แต่คำตอบที่เราได้จากคำถามงงงวยบนรถก็ตีกลับเข้ามาในสมอง เออ… มีแบบไหนก็ปกติแบบนั้นแหละ
ฉันออกมาเดินเล่นที่ตามเนินเขาใกล้ ๆ คนเดียวกับผ้าห่มที่เอาพันตัวเป็นหิมาลายาอีกหนึ่งผืน เดินมาไกลประมาณหนึ่งจนพอใจกับวิว เลยตัดสินใจนั่งลงที่พื้น
สืบ นาคะสเถียร ชื่อผู้ชายคนนี้ผุดขึ้นมาในสมองของฉัน
ผู้ชายคนหนึ่งที่แม่ฉันอินกับเรื่องราวชีวิตของเขามาก
ผู้ชายคนหนึ่งที่ฆ่าตัวตายเพื่อป่า เขาคือผู้ชายที่ปกติฉันจะไม่มีทางเข้าใจแน่ ๆ ว่าจะฆ่าตัวตายเพื่อต้นไม้ไปเพื่ออะไร ?
แต่ตอนนี้คำว่าปกติที่เปลี่ยนไป มันเปิดแง่มุมความคิดต่าง ๆ ของฉันให้กว้างขึ้น
เขาไม่ได้ฆ่าตัวตายเพื่อปกป้องต้นไม้หรอก มันคือคุณค่าที่บางทีคนอย่างฉันไม่เคยเห็นมากกว่า
พูดเชิงวิชาการหรือความรู้ ฉันคงบอกอะไรไม่ได้มากนัก แต่จากแง่มุมของคนที่ดูเหมือนพึ่งจะปลดล็อคเรื่องอะไรแบบนี้ได้ คำว่าต้นไม้ที่ฉันเข้าใจก่อนหน้านี้ ตอนนี้มันเป็นอะไรที่มากกว่านั้นมาก
เป็นป่า เป็นที่อยู่ เป็นเครื่องฟอกอากาศ เป็นวิวสวย ๆ เป็นเรื่องง่าย ๆ มองได้ตื้น ๆ
แต่ในขณะเดียวกันก็ซับซ้อนมากเกินจะเข้าใจ เป็นเครื่องสร้างความโล่งใจอย่างหาเหตุผลไม่ได้เป็นทุกอย่างของบางคน และเป็นความปกติที่บางคนโหยหาแต่ไม่เคยรู้ตัว
ซึ่งฉันน่าจะเป็นหนึ่งในส่วนนั้น โชคดีที่วันนี้ฉันได้รู้ตัว…
กาลองกาลอย
WILD-WRITE โครงการเปิดรับต้นฉบับบทความ สารคดี บทกวี บอกเล่าเรื่องราว สืบ นาคเสถียร ในความทรงจำ เนื่องในวาระครบรอบ 30 ปี สืบ นาคะเสถียร
ชวนเล่าเรื่อง สืบ นาคะเสถียร ในมุมมองความประทับใจของคุณ หรือจะเป็นเรื่องราวที่เก่ียวข้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คุณประโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติ หรือแม้แต่ความประทับใจจากการเดินทางเที่ยวชมไพรกว้างและมหาสมุทรสุดขอบฟ้าก็ยินดีเปิดรับ
บอกสิ่งที่คุณคิด บรรยายสิ่งที่คุณรู้สึก และบอกเล่าเรื่องราวอย่างสร้างสรรค์
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ กิจกรรม WILD WRITE ชวนเล่าเรื่องจากป่าสู่เมือง (ซีรีย์ 1)