ในวันที่ข้าพเจ้าลืมตาตื่นขึ้นมองเห็นโลก ถนนหนทางในซอยลาดพร้าวยังเต็มไปด้วยดินลูกรัง ภูมิทัศน์ส่วนมากเป็นเพียงทุ่งโล่งสลับกับบึงน้ำบริสุทธิ์ สองฟากทางปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ มีต้นก้ามปูและดงกกมากมาย ท้องฟ้ามืดสนิทเร็วตั้งแต่หัวค่ำ มองเห็นดาวนับล้านส่องสกาวได้ทั่วไป และจดจำด้วยว่าในช่วงฤดูหนาวจะมีฝูงนกเป็ดน้ำอพยพมาอาศัยหากินอยู่ในบึงเป็นประจำทุกปี ทั้งหมดนี้เป็นเสี้ยวหนึ่งของความเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักรธรรมชาติที่ข้าพเจ้านึกได้เลา ๆ เมื่อย้อนความไปยังสถานที่เกิดในวัยเยาว์
เมื่อลองทบทวนอย่างถี่ถ้วน ความทรงจำแต่หนก่อนที่ปรากฎชัดในสมอง พาข้าพเจ้าไปพบเรื่องการผจญไพรในวันปิดภาคเรียนที่อำเภอปากช่องร่วมกับคุณปู่ ซึ่งลาจากโลกนี้ไปหลายสิบปีแล้ว ข้าพเจ้าจดจำความสุขสันต์ในวันตั้งแค้มป์ ทำอาหารบนก้อนเส้า เล่นน้ำตกและอาบน้ำในลำธารสายเล็ก ๆ ระลึกได้ถึงความหนาวของคืนข้างแรมสลับกับไออุ่นจากกองไฟที่ใช้ฝ่ามือน้อย ๆ อังไว้ ภาพเหล่านั้นชัดแจ้งไปถึงอารมณ์ราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน รวมถึงเรื่องราวคุณปู่ของข้าพเจ้า อดีตนายพรานผู้เจนไพรแห่งอำเภอปากช่องได้อย่างแม่นยำ
คุณปู่ของข้าพเจ้าท่านมีชื่อว่าน้อย หรือใคร ๆ ต่างเรียกท่านว่าพรานน้อย ชื่อของท่านถูกตั้งตามลักษณะของร่างกายเมื่อแรกเกิดจวบจนนเติบใหญ่ ท่านเป็นคนตัวเล็ก ไหล่แคบ ดูคล้ายเป็นคนผอม แต่มีกล้ามเนื้อกระชับกำยำสมสัดส่วน แม้วัยจะเลย ๖๐ ไปแล้ว ท่านก็ยังแข็งแรง ปราดเปรียว ทำงานทำการว่องไวขัดกับอายุ เว้นแต่ริ้วรอยบนใบหน้าเท่านั้นที่แสดงหลักฐานทางประสบการณ์ชีวิตเอาไว้ให้เห็น
คุณปู่น้อยหรือพรานน้อยในความทรงจำของข้าพเจ้าเป็นคนใจดีช่างพูด ท่านมักมีนิทานแปลก ๆ ประยุกต์เอาประสบการณ์บุกป่าฝ่าดงมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังอยู่เสมอ เรื่องคลาสสิคของพรานน้อยเห็นจะเป็นตำนานผีกองกอย หรือผีตีนเดียว ใจความบอกเล่าถึงตำนานผีป่าที่ไปไหนมาไหนด้วยการกระโดดขาเดียว แต่แทบไม่บังเกิดเสียง ถ้าเผลอไผลหลับใหลไม่รู้ตัวจะถูกดูดเลือดจนตาย พรานน้อยชอบเล่าเรื่องนี้ให้ข้าพเจ้าฟัง เท่า ๆ กับที่ข้าพเจ้าเป็นฝ่ายคะยั้นคะยอรบเร้าให้ท่านเล่า
แม้จะถูกนำมาฉายซ้ำบ่อยแค่ไหน พรานน้อยก็ไม่เคยเกี่ยง รังแต่จะสรรหาอุบายมาเล่าไม่ให้ซ้ำเก่าเสียเลยสักรอบ บ้างก็เล่าย้อนไปถึงสมัยพรานน้อยยังเป็นเด็กตามบิดาเข้าป่า บ้างก็เป็นเรื่องฝรั่งมาตามล่าสัตว์หรือหาสมุนไพรไปวิจัยยาสมัยใหม่ สุดแท้แต่จะเอาความจริงหรือเรื่องแต่งใส่ไว้ตรงหัวหรือตรงท้าย และถึงจะรู้อยู่แล้วว่าตอนจบเป็นเยี่ยงไร ข้าพเจ้าก็ยังกลัวตัวสั่นจนต้องรีบดึงผ้าห่มฝ้ายมาคลุมโปงเสียทุกครั้ง เพิ่งมารู้เอาตอนแก่เหมือนกันว่าเป็นกุศโลบายให้เด็ก ๆ นอนห่มผ้ามิดชิด ป้องกันยุงที่เป็นพาหะนำไข้ป่ามาทำให้คนเจ็บไข้ได้ป่วย
แต่ความทรงจำที่สนุกและมีความสุขที่สุดหาใช่การฟังนิทาน แต่เป็นวันที่พรานน้อยพาไปกางเต้นท์ตั้งแค้มป์กลางป่า ถึงคราวเมื่อไหร่เป็นต้องร้องเย่!! ออกมาดัง ๆ กระโดดโลดเต้นดีใจราวกับมีพญาวานรมาเข้าสิงสู่อยู่ในร่าง
เวลาเดินทางไปตั้งแค้มป์ พรานน้อยจะให้เพื่อนพราน ชื่ออาว์จั่น ใช้เกวียนเทียมควายขนสัมพาระพาไปส่งยังจุดที่หมายตาเอาไว้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนัก ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย หากเกิดอาเพศสุดวิสัยขึ้นกระทันหัน จะได้หาทางหลบหนีทีไล่ทันการ
สำหรับเด็กคนหนึ่ง การได้นั่งบนเกวียนเทียมควายซึ่งแตกต่างจากรถราละแวกบ้านก็นับเป็นเรื่องสนุกมากแล้ว อาว์จั่นเองก็เป็นคนดีมีน้ำใจ เป็นสุภาพบุรุษไพรที่ชาวบ้านต่างพึ่งพาอาศัยได้เสมอ อายุน้อยกว่าคุณปู่ของข้าพเจ้าเกือบ ๒๐ ปี แต่ตะแกเคารพและนับถือคุณปู่มิใช่น้อย เมื่อมีคำไหว้วานก็ไม่เคยบ่ายเบี่ยงหรือปฏิเสธประสงค์สักหน นั่นเพราะอาว์จั่น หรือพรานจั่น เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของพรานดำ บิดาของพรานน้อยหรือคุณปู่น้อยของข้าพเจ้านั่นเอง อาว์จั่นยึดถือเอาเรื่องของพรานน้อยเป็นหน้าที่ความกตัญญูกตเวทีที่ปุถุชนพึงปฏิบัติยึดเป็นคติประจำใจ
การไปตั้งแค้มป์กับพรานน้อย ส่วนมากจะค้างกันเพียงหนึ่งคืน มีข้าพเจ้า คุณปู่และคุณย่าไปกัน ๓ คน บางครั้ง หากบิดาของข้าพเจ้าไม่ต้องรีบกลับไปทำงานในเมืองหลวงก็จะค้างด้วยกันอีกคน บางครั้งมีเพื่อนพรานเมืองกรุงรุ่นราวคราวเดียวกับคุณปู่มาร่วมวงอีกหลายคนจนกลายเป็นแค้มป์ขนาดใหญ่ และหมายความว่าข้าพเจ้าจะได้เข้าป่าในส่วนที่ลึกกว่าคราวไปกัน ๓ คน และอยู่กันอย่างน้อย ๆ ๓ วัน ๒ คืน หรืออาจมากกว่านั้น
แต่ในสำนึกของข้าพเจ้าไม่ประสงค์การเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ ข้าพเจ้าชอบเข้าป่า ๓ คน อย่างปู่ย่ากับหลานเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เสียมากกว่า ยามที่มีเพื่อนพรานจากเมืองมาร่วมวง มักทำให้รู้สึกว่าทั้งแค้มป์มีเพียงข้าพเจ้ากับคุณย่าอยู่กันเพียงสองคน คุณปู่มักปลีกตัวไปสนทนากับเพื่อนพรานของท่านเกือบตลอดเวลา จึงเกิดนึกน้อยใจไปตามประสาเด็กอย่างเสียมิได้
เมื่อยามออกไปตั้งแค้มป์ พรานน้อยมักหาผลหมากรากไม้มาให้ชิมได้ตลอดทาง จนคุณย่าท่านต้องคอยปราบอยู่เรื่อย ๆ ไม่เช่นนั้นพอถึงมื้อค่ำข้าพเจ้าจะอิ่มเสียจนไม่ยอมทานอาหารอีกเลย แล้วก็จะนึกหิวขึ้นอีกครั้งในตอนกลางดึก
บางทีคุณปู่ท่านก็ชอบพาไปเดินดูธรรมชาติรอบ ๆ แค้มป์ คุณปู่น้อยในฐานะพรานน้อยเมื่ออยู่ป่า ท่านเป็นคนช่างสังเกต มีความรอบรู้ไปเสียทุกเรื่องในอาณาจักรไพร ท่านสามารถเอ่ยชื่อต้นไม้ได้หมดทุกชนิด อธิบายลงลึกไปถึงประโยชน์ใช้สอย ต้นไหนเหมาะทำฝืน ส่วนใดนำมารับประทานได้ อย่างไหนเป็นพิษควรหลีกเลี่ยง หากหลงป่าต้องทำอย่างไร ในยามค่ำคืนเมื่อมีเสียงแปลก ๆ แว่วมาได้ยิน ท่านก็สามารถบอกได้ว่าเป็นเสียงของสัตว์ชนิดใดอย่างมีเหตุมีผล ไม่เคยกล่าวถึงสิ่งใดที่จะทำให้หลานของท่านรู้สึกเสียขวัญเลยสักน้อย เว้นแต่เมื่ออยู่บนเรือน ท่านก็จะเล่าเรื่องผีกองกอยของท่านต่อไป
หนหนึ่ง ข้าพเจ้าเกิดจุกเสียดท้องขึ้นกระทันหัน คุณปู่ก็เดินดุ่ม ๆ ออกนอกบริเวณแค้มป์ หายไปราว ๑๐ นาที ก็กลับมาพร้อมกิ่งยอดใบอะไรสักอย่าง มาถึงก็ขยี้ขยำนำมาทาท้อง บ้างก็เอามาให้เคี้ยว ระหว่างนั้นก็ขยับปากขมุบขมิบเหมือนกำลังว่ามนต์อะไรสักอย่าง พลันไม่นานนักอาการปวดก็หายเป็นปลิดทิ้งราวกับว่าไม่เคยเจ็บมาก่อน เป็นความพิศวงงงงวยที่ข้าพเจ้าไม่ได้อาจทราบคำตอบมาถึงบัดนี้ถึงอากัปกิริยาแปลก ๆ แบบนั้น
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ามีข้อสังเกตประการหนึ่ง ถึงฐานะความเป็นพรานของคุณปู่ เนื่องจากในทุก ๆ ครั้งที่ออกไปตั้งแค้มป์ ข้าพเจ้ามักคะยั้นคะยอให้พรานน้อยพาไปล่าสัตว์ ด้วยในใจประสงค์อยากเป็นอย่างอินเดียนา โจนส์ แต่ไม่ว่าจะขอร้องอย่างไรก็จะได้รับเพียงคำปฏิเสธทุกครั้ง พลางอ้างอยู่สองสามอย่าง บ้างว่าแถบนี้ไม่มีสัตว์ดอก หรือไม่ก็มีเนื้อมาพอทานแล้ว หรือไม่ก็อ้างว่าไม่ได้เอาปืนมาบ้างล่ะ ซึ่งนั่นก็จริงดั่งที่คุณปู่ท่านว่า ทุกครั้งที่มาเที่ยวเล่นจะเห็นว่าบ้านของท่านมีเนื้อสัตว์ตระเตรียมไว้พร้อมสรรพเสมอ ทั้งเก้ง กวาง หมูป่า ไปจนถึงเนื้อไก่ป่า มีมากพอจนกินกันไม่หมดเสียด้วยซ้ำ หรือในยามตั้งแค้มป์ ปืนลูกซองที่เห็นพรานน้อยสะพายขึ้นไหล่ติดตัวไปด้วยจะอันตรธานหายไปจากสายตาเสมอเมื่อยามพักแรมอยู่ในแค้มป์ มาเห็นอีกทีก็ตอนเดินทางกลับ เมื่อถามไถ่ไปด้วยความสงสัยก็ได้รับคำตอบเพียงว่า “เจ้าป่าเจ้าเขาท่านเอาไปซ่อน”
บางที ข้าพเจ้าจึงนึกสงสัยว่าพรานน้อยอาจไม่ได้เป็นพรานอย่างที่ใครต่อใครพากันร่ำลือ ก็ไม่เคยเห็นตะแกจะยิงสัตว์หรือแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แบบที่ได้ยินได้ฟังมาเสียที เรื่องรู้จักพฤกษาในดงพงไพรเมื่อเป็นคนบ้านป่าแล้วไซร้ย่อมต้องรู้ดีไม่ต่างอะไรกับที่เด็กเดี๋ยวนี้สามารถหลับตาเดินไปหาที่นั่งในโรงฉายภาพยนตร์ที่มืดสนิท
อย่างไรก็ดี ข้อกังขาของข้าพเจ้าก็หายไป เมื่อได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์หนึ่ง อันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเลื่อมใสในความสามารถของพรานน้อยยิ่งนัก
ข้าพเจ้าจำได้ว่า มันเป็นยามบ่ายของวันหนึ่งที่ฝนเริ่มตกลงมาปรอย ๆ ตามปกติแล้วเพลาแบบนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่จะพากันอาศัยอยู่บนเรือน แต่เหตุการณ์วันนั้นกลับเป็นตรงกันข้าม ชาวบ้านหลายสิบคนยกโขยงมาหาพรานน้อย ชุมนุมกันอยู่ตรงลานหน้าเรือนบ้าง ใต้ไม้ใหญ่ใกล้ ๆ บ้าง ทุกคนยืนกันตัวเปียกไม่มีใครสนใจสายฝนที่ตกลงมา มองลงไปก็เห็นอาว์จั่นยืนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย พอพรานน้อยออกไปถามไถ่กันก็ได้ความว่า มีชาวบ้านคนหนึ่งในซุ้มข้าง ๆ เข้าไปเก็บหาผักป่าเมื่อวานซืนแล้วไม่กลับออกมา ในวันแรกฝ่ายคนในครอบครัวเห็นว่าผิดวิสัยจึงไปตามให้อาว์จั่นช่วยออกตาม พรานจั่นเร่งหาออกหาพาพรรคพวกหายไปวันกว่า ๆ แต่ไม่พบทั้งคนและร่องรอย จึงตัดสินใจพากันมาขอความช่วยเหลือจากพรานน้อย พอถามไถ่กันว่าทำไมไม่มาตามตั้งแต่วันแรก ก็ได้ความว่าเกรงใจพรานน้อย เพราะเห็นมีหลานมาเยี่ยม และใคร ๆ ในละแวกนั้นต่างก็รู้ดีว่าพรานน้อยรักหลายของตะแกมาก จึงไม่อยากรบกวนเวล่ำเวลาให้เสียไป
ข้าพเจ้า นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ เห็นคุณปู่น้อยกระซิบกระซาบกับพรานจั่น พูดคุยกันอยู่สองสามคำ แล้วหลบหายไปคว้าเอาปืนลูกซองคู่ใจออกมายืนจังก้าอยู่นอกชาน ในจังหวะเดียวกับที่อาว์จั่นซึ่งหายหน้าไปแว่บหนึ่งเหมือนกันก็โผล่กลับมาพร้อมธูปหลายสิบก้านในกำมือ
พรานน้อยจุดธูปยืนพนมมือหลับตาทำปากขมุบขมิบแล้วส่งธูปให้พรานจั่นเอาไปปักไว้ใต้โคนต้นไม้ใหญ่ข้างบ้านจากนั้นทั้งคู่ก็กระโดดขึ้นเกวียนเทียมควายพากันหายลับไปตามทางด่านสายเล็กๆที่รายล้อมไปด้วยอุโมงค์ยักษ์สีเขียว
เวลาผ่านไปจากบ่ายไปถึงค่ำ ล่วงเลยไปถึงเวลาเข้านอน ข้าพเจ้าจำได้ว่าคืนนั้นหลับไปแล้ว แต่ก็ตื่นเพราะได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากนอกเรือน คุณย่าที่นอนอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่อยู่ ท่านลุกไปเสียก่อนที่ข้าพเจ้าจะรู้สึกตัว ในบ้านสว่างจ้าด้วยแสงจากตะเกียงเจ้าพายุ ระหว่างกำลังนั่งขยี้ขี้ตาก็พบว่าพรานน้อยกลับมาพร้อมกับอาว์จั่นและพาคนหลงป่าอีกคนกลับมาได้อย่างปลอดภัย ฟังความเอาวันรุ่งขึ้นพร้อมชาวบ้านอีกหลายคนก็พากันแปลกใจว่าทำไมอาว์จั่นไปตามไม่เจอ ทั้งที่ไปเส้นทางเดียวกับที่พรานน้อยไป ปรึกษาหารือกันก็ไม่ทราบว่าได้คำตอบแบบใด (ข้าพเจ้าจำรายละเอียดไม่ได้เสียแล้ว) แต่วีรกรรมหนนั้นทำให้ชาวบ้านรู้สึกเย็นใจที่มีพรานน้อยอยู่ใกล้ ๆ รวมทั้งอาว์จั่นเองก็ดูเหมือนจะเลื่อมใสในตัวพรานน้อยมากยิ่งขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าก็รู้สึกไม่ต่างออกไป
นับจากเหตุการณ์หนนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ประสงค์ฟังนิทานเรื่องผีกองกอยอีกต่อไป ครั้นแต่ประสงค์ให้พรานน้อยเล่าถึงประสบการณ์ท่องไพร อย่างคนใคร่รู้ และแอบคิดฝันว่าอยากเป็นพรานอย่างคุณปู่บ้าง
พรานน้อยกล่าวกับข้าพเจ้าว่า วิชาความรู้ทั้งหมด บิดาของท่านสอนมาอีกที พลางเย้าเข้าพเจ้าด้วยว่า “สมัยอายุเท่าเจ้าเคยแบกปืนตามบิดาเข้าไปล่าสัตว์ในดงพญาไฟได้เป็นเดือน ๆ”
ก็แน่ล่ะ พอมานึกย้อนความอย่างละเอียด คงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เพราะสมัยที่พรานน้อยยังเป็นเด็ก บ้านปากช่องของท่านยังเป็นไพรดึกดำบรรพ์แบบเดียวกับบ้านหนองน้ำแห้งของพรานใหญ่ รพินทร์ ไพรวัลย์ และคงไม่ต่างอะไรกับฉากป่าในเรื่องล่องไพร ของมาลัย ชูพินิจ ไม่จำเป็นต้องบุกป่าฝ่าดงไกลเกินชั่วคืน แค่เดินดุ่ม ๆ ตามทางด่านหลังบ้าน เพียงไม่เกินเที่ยงวันก็ได้เนื้อสดติดไม้ติดมือกลับมาเป็นเสบียงได้อย่างสบาย ๆ
คุณปู่น้อยยังเล่าให้ฟังว่า สมัยที่บิดาของของข้าพเจ้ายังอายุอานามเท่ากับข้าพเจ้า (ในเวลานั้น) ท่านเคยคิดให้บิดาของข้าพเจ้ามาสืบทอดวิชาพรานไพรแบบท่าน แต่มาเปลี่ยนใจให้ไปเรียนวิชาการความรู้อย่างคนสมัยใหม่เอาภายหลัง ซึ่งข้าพเจ้าได้มาฟังความละเอียดจากคำบอกเล่าของบิดาอีกที ท่านเล่าว่า
ตอนที่ท่านโตพอจะจำความ อายุประมาณ ๑๐ ขวบเห็นจะได้ มีคนเมืองคณะหนึ่งริอยากล่าสัตว์ มาว่าจ้างให้พรานน้อยนำทางสักสองสัปดาห์ ตะแกก็ตบปากรับคำไปตามประสาพรานป่าจน ๆ ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ที่นาน ๆ ทีจะมีคนมาว่าจ้างนำทาง ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าแปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่ไม่ยักมีใครมาไหว้วานท่านมากนัก คาดเดาสาเหตุกันว่าคงเพราะพรานน้อยไม่มีใบปริญญาล่าสัตว์ใหญ่อย่างเสือ กระทิง หรือช้างกระมัง พรานสมัครเล่นที่หลงเห่อในปืนผาหน้าไม้รุ่นใหม่ ๆ อยากเถลิงอำนาจด้วยปากกระบอกไรเฟิลจึงไม่ประสงค์ตามตัวท่านไปเป็นคนนำทาง
แต่พูดก็พูดเถอะ ว่ากันว่าตลอดชีวิตการล่าสัตว์ของพรานน้อย ท่านไม่เคยได้รับบาดเจ็บรุนแรงสักครั้ง (เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ) จะมีก็แค่แผลถลอกเล็ก ๆ กับรอยฟกซ้ำเขียวจ้ำ ๆ อย่างที่คนเดินป่าพึงมีเป็นของที่ระลึกเท่านั้น และพรานน้อยยังชำนาญเรื่องการแกะร่องรอยไม่เป็นสองรองใคร สามารถประยุกต์ทุกส่วนประสาทมาใช้อ่านรหัสป่าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
แต่แล้วการนำทางหนนั้น ดันเกิดอาเพศวิปริตพิสดารราวกับถูกเทพารักษ์กลั่นแกล้ง ทักษะไพรของพรานน้อยดันเสื่อมมนต์สิ้นความขลัง อ่านทักษิณาคเนย์เป็นอุดรพายัพ หลงมะงุมมะงาหราเป็นวัน ๆ ปืนผาหน้าไม้ก็ดันทรยศกระสุนด้านเอาตอนเล็งเป้าสัตว์ได้พอเหมาะพอเจาะ มิหนำซ้ำยังเกือบถูกหมูป่าตัวเขื่องไล่ขวิดหวิดเอาชีวิตไม่รอด แทบจะสิ้นนามพรานไพรทิ้งชีวิตไปเป็นผีป่าเสียบัดเดี๋ยวนั้น
แต่บทสรุปสุดท้ายกลับตาลปัตรเอาอีกหน คณะคนเมืองที่เกือบวายชีวาดันรักใคร่พรานน้อยอย่างถูกอกถูกใจ เห็นว่าข้อผิดพลาดเหล่านั้นเป็นรสชาติการผจญไพร ระลึกถึงบุญคุณพรานด้วยน้ำใจดังสุภาพบุรุษที่พาพวกตนเอาชีวิตรอดกลับมาได้ ทั้ง ๆ ที่ เหตุการณ์มันไม่ควรจะเสี่ยงขนาดนั้น ทั้งยังซึ้งน้ำใจถึงขั้นไม่ยอมเดินทางกลับบ้านช่อง ขอตั้งแค้มป์ชั่วคราวข้างบ้านพรานน้อยอีกเป็นสัปดาห์ เพื่อโอภาปราศัยอย่างคนต้องชะตากัน
ระหว่างนั้น คนหนึ่งในคณะก็เจรจาพาทีขอนำลูกพรานน้อย (บิดาข้าพเจ้า) ไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ตั้งใจอยากส่งเสียให้เรียนหนังสือหนังหา มีวิชาความรู้แขนงอื่นติดตัว ตอนร่ำเรียนก็อยู่กินกับเขา ปิดภาคเรียนเมื่อไหร่จะพามาส่งบ้าน พลางถือโอกาสพาตัวเองมาเยี่ยมพรานน้อยที่นับถือกันอย่างพี่น้องที่คลานตามกันมาจากท้องแม่เดียวกัน
พรานน้อยคิดใคร่ครวญอยู่หลายวัน จนคณะคนเมืองเดินทางกลับไปแล้วกลับมาถามข่าวคราวใหม่ในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง จึงได้ตอบตกลง คราแรกฝ่ายมารดา (คุณย่าของข้าพเจ้า) ไม่ยอม แต่สุดท้ายก็ต้องจำใจด้วยอำนาจเด็ดขาดของพรานน้อย
“ที่คุณปู่ยอมตกลงเพราะคนเมืองเอาปืนลูกซองรุ่นใหม่มาฝากพร้อมเครื่องกระสุนอีกหลายกล่อง พูดง่าย ๆ คือเอาพ่อแลกกับปืนนั่นแหละ” บิดาข้าพเจ้าเล่าติดตลก ข้าพเจ้าจำได้ดีว่าบิดากล่าวไปพลางขำขันไปอย่างออกรส
แต่เหตุผลจริง ๆ ที่ยอมคนแปลกหน้า เพราะท่านเห็นว่าอาชีพพรานไพรคงไม่ก้าวหน้าหนัก ทั้งชีวิตวนเวียนอยู่แต่ปาณาติบาต อีกทั้งนับวันสัตว์ป่าก็เริ่มน้อยลง ถึงแม้ว่าป่าปากช่องเวลานั้นยังมีสิงสาราสัตว์อยู่มากมาย แต่มันก็ไม่มากเท่าอดีต จากที่เคยมีสองสามีภรรยาปลูกเรือนกลางป่า ก็กลายเป็นซุ้มชุมชนใหญ่ อีกทั้งยังเห็นว่ามีคนเมืองเข้ามาอาศัยป่าล่าสัตว์มากขึ้นเรื่อย ๆ ท่านคงพิจารณาแล้วว่าอีกหน่อยสัตว์ป่าคงเหลือไม่พอจุนเจือยาไส้ กับอีกใจหนึ่งที่ระลึกถึงภยันตรายต่าง ๆ ที่ตัวเองเพิ่งประสบ ก็คงไม่ประสงค์ให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวต้องมามีเคราะห์กรรมไปก่อนวัยอันควร
ด้วยสัจจะของฝ่ายคนเมือง บิดาของข้าพเจ้าได้ร่ำเรียนวิชาการแขนงใหม่ ๆ จนเมื่อถึงวันปิดภาคเรียนก็ได้รับส่งตัวคืนยังเรือนกลางไพรดังสัญญาใจที่ผูกกันไว้เหนียวแน่น พร้อม ๆ กับถือโอกาสพาตัวเองมาเยี่ยมเยียนสหายรัก และพากันเข้าป่าล่าสัตว์เป็นประจำทุกปี จวบจนวันที่บิดาของข้าพเจ้าเรียนจบก็ยังช่วยฝากฝังให้ได้มีการมีงานทำ และยังรับอาสาเป็นเถ้าแก่พาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของพรานน้อยยกขันหมากไปหมั้นหมายสาวอันเป็นที่รัก ซึ่งต่อมาทั้งคู่ได้ให้กำเนิดข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้ามาทราบเอาภายหลังว่า วันที่ข้าพเจ้าลืมตามาดูโลกเป็นวันที่พรานน้อยตัดสินใจวางปืน เลิกอาชีพพรานล่าสัตว์อย่างเด็ดขาด คงเหลือแต่คำมั่นว่าจะจับปืนเมื่อยามเห็นว่าจำเป็นอย่างเลี่ยงไม่ได้ และต้องทำเพื่อช่วยเหลือหาใช่เพื่อสังเวยชีวิต
ข้าพเจ้ามาถึงบางอ้อเอาเมื่อคราวบิดาเล่าความหลังนี้ให้ฟัง จึงนึกขึ้นได้ถึงกลุ่มพรานเมืองที่ไปตั้งแค้มป์ร่วมกับข้าพเจ้าและพรานน้อยบ่อย ๆ แท้จริงแล้วคือกลุ่มผู้มีพระคุณต่อบิดาของข้าพเจ้าและพรานน้อยนั่นเอง
ในวันที่พรานน้อยเป็นเพียงแค่คุณปู่น้อย ท่านเล่าว่าท่านเป็นพรานเพียงเพื่อช่วยให้ตัวเองได้อิ่มท้อง ไม่ได้หมายมั่นปั้นมือเป็นเจ้าป่าผู้เกรียงไกรคิดข่มแหงรังแกมนุษย์หรือสัตว์ตัวใด รับเอาวิชาพรานมาจากบิดาเพื่อใช้ชีวิต หากเมื่อใดต้องล่าก็หมายถึงว่ากำลังหิวหรือประสงค์ในปัจจัยจุนเจือครอบครัว จะไม่รังแกสัตว์ใหญ่อย่างช้างหรือเสือ กระทิงก็ยังเป็นข้อละเว้นในบางครั้ง หากพบเห็นร่องรอยก็จะหลบหลีกเสียให้พ้น เว้นแต่เลี่ยงไม่ได้ เช่นยามไปเจอสัตว์ร้ายที่หมายปองแก้แค้นมนุษย์ที่ทำให้มันบาดเจ็บ เมื่อถึงยามฆ่าก็ต้องฆ่า ส่วนการตามล้างแค้นให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างในนิยายท่องไพรจำนวนมากนั้นไม่แน่ใจว่าพรานน้อยรับอาสาด้วยหรือไม่ เพราะข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้ฟังเรื่องราวทำนองนี้จากปากพรานน้อยหรือจากใครเลยสักครั้ง
คำสอนของพรานน้อยเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าจำได้แม่นยำ เป็นเรื่องการใช้ปืน ซึ่งปกติพรานน้อยจะไม่เอ่ยถึงเรื่องอาวุธกับข้าพเจ้าบ่อยหนัก แต่หนนั้นคงเห็นว่าข้าพเจ้าเริ่มมีอายุเข้าสู่วัยหนุ่มแล้ว จึงพึงว่ากล่าวตักเตือนเอาไว้ด้วยความหวังดี คุณปู่น้อยท่านว่า “หากวันใดเจ้ามีปืนผาเป็นของตัวเอง จงจำเอาไว้ว่า เจ้าไม่ใช่เจ้าของปืนกระบอกนั้นดอก สติ ต่างหากที่เป็นเจ้าของปืนอย่างแท้จริง”
ข้อความนี้ ข้าพเจ้าอาจเรียงร้อยถ้อยคำไม่ถูกตามคำสอนดั้งเดิมโดยสมบูรณ์ แต่ก็คงไม่ขาดตกบกพร่องไปจากนี้ ข้าพเจ้ายังจดจำได้ดี แม้จนถึงที่สุดแล้ว ข้าพเจ้าจะมีแฮนด์กันสมิธแอนด์เวสสันอยู่ติดบ้าน เป็นสมบัติตกทอดจากบิดา ข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้ใช้ปืนยิงสิ่งใดเลยสักครั้งเลยในชีวิต เนื่องจากข้าพเจ้าได้ยกปืนกระบอกนั้นให้กับ สติ เจ้าของที่แท้จริงตามคำสอนของพรานน้อย
ในบั้นปลายชีวิตของคุณปู่น้อย ท่านเจ็บป่วยบ่อยครั้งด้วยไข้ป่า บิดาของข้าพเจ้าและตัวข้าพเจ้าเองประสงค์อยากพาท่านเข้ามารักษาตัวในเมือง แต่คุณปู่น้อยท่านกล่าวปฏิเสธทุกครั้ง ท่านว่าชีวิตของท่านได้จากป่ามามากแล้ว เมื่อถึงเพลาก็ควรต้องคืนกลับให้ป่าไปเสียบ้าง
พรานน้อยจากไปเมื่ออายุ ๘๓ ปี หลังฌาปนกิจ บิดาข้าพเจ้าและเพื่อนพรานของท่านนำเอาอัฏฐิไปโปรยไว้ในดงพญาไฟอันเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมของพรานน้อย ให้ท่านได้กลับคืนสู่ป่าดังวาจาของท่าน สิ้นสุดชีวิตพรานป่าในสายตาของหลานชาย ผู้ไม่เคยเห็นพรานน้อยเบียดเบียนชีวิตสัตว์ป่าเลยสักครั้ง
.
.
หลานพรานน้อย
.
หมายเหตุ ชื่อของบุคคลที่ปรากฎในงานเขียนชิ้นนี้เป็นนามสมมติ
WILD-WRITE โครงการเปิดรับต้นฉบับบทความ สารคดี บทกวี บอกเล่าเรื่องราว สืบ นาคเสถียร ในความทรงจำ เนื่องในวาระครบรอบ 30 ปี สืบ นาคะเสถียร
ชวนเล่าเรื่อง สืบ นาคะเสถียร ในมุมมองความประทับใจของคุณ หรือจะเป็นเรื่องราวที่เก่ียวข้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คุณประโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติ หรือแม้แต่ความประทับใจจากการเดินทางเที่ยวชมไพรกว้างและมหาสมุทรสุดขอบฟ้าก็ยินดีเปิดรับ
บอกสิ่งที่คุณคิด บรรยายสิ่งที่คุณรู้สึก และบอกเล่าเรื่องราวอย่างสร้างสรรค์
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ กิจกรรม WILD WRITE ชวนเล่าเรื่องจากป่าสู่เมือง (ซีรีย์ 1)