WILD-WRITE : ป่าดงปงไหว

WILD-WRITE : ป่าดงปงไหว

สีเขียวสุดลูกหูลูกตาต้นไม้ใหญ่ที่บดบังแสงอาทิตย์ในช่วงบ่ายสายน้ำที่เย็นไหลผ่านทำให้อากาศที่ร้อนกลายเป็นอากาศที่เย็นสบาย

เมื่อแสงดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนลับขอบฟ้าอย่างช้า ๆ ทำให้ความมืดคืบคลานเข้ามา เปลี่ยนป่าที่เป็นสีเขียวเข้มเป็นป่าสีดำน่ากลัวอุณหภูมิของป่าที่เย็นสบายค่อย ๆ เย็นขึ้นจนหนาวเหน็บ

เสียงจากป่าในตอนกลางวันค่อย ๆ เบาลงจนกระทั่งเงียบสนิททุกอย่างสงบอยู่กับที่ราวกับหลับไหลไปไม่นานในความมืดนั้น ป่าที่เงียบสงบกลับมีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเสียงที่แตกต่างออกไปราวกับอยู่คนละโลกแลดูมีชีวิตชีวากว่าตอนกลางวันเสียอีก

นี่เป็นความทรงจำเมื่อ 13 ปีที่แล้ว

ตอนนั้นผมอายุเพียง 4 ปี และเป็นเพียงความทรงจำเดียวที่ผมจำได้ และประทับใจที่สุดของป่าดงปงไหว หลังจากนั้นผมได้ย้ายไปอยู่ในเมืองและเติบโตในเมือง จนกระทั่ง 2 ปีที่แล้วผมกลับบ้าน และได้ไปนั่งเฝ้ามองป่าดงปงไหวอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้ ภาพที่ผมเห็น และสิ่งที่ผมเจอ มันทำให้รู้สึกเศร้าใจเป็นยิ่งนัก ป่าที่เคยมีชีวิตชีวาทั้งตอนกลางวันและตอนกลางคืนเมื่อ 13 ปีที่แล้ว กลับกลายเป็นป่าที่เงียบสงบเหมือนถูกสาปอากาศที่เคยเย็นสบาย กลายเป็นความร้อนจากเปลวไฟที่ลุกโชน

สิ่งนี้ทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกเสี้ยวหนึ่งของท่านสืบ และเป็นแรงบรรดาลใจในศึกษาเล่าเรียน เพื่อจะเป็นบุคลากรที่ดีในอนาคตและนำผืนป่าที่อุดมณ์สมบูรณ์ป่าที่เป็นบ้านของเพื่อนสัตว์น้อยใหญ่ ให้กลับมายังผืนแผ่นดินไทย

จากสิ่งนี้ทำให้ผมได้เริ่มทำการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับป่าดงปงไหว ผืนป่าของชุมชนของผมและจะนำมาเผยแผ่ ณ ที่นี้ครับ

ป่าดงปงไหวเป็นคำขานนามของพื้นที่ป่าตั้งอยู่ระหว่างหมู่บ้านม่วงเขียวหมู่ 4 ตำบล ร้องวัวแดง และบ้านป่าตึงหมู่ที่ 7 ตำบลห้วยทราย

ซึ่งปงไหวเป็นภาษาล้านนาหมายถึงพื้นที่เป็นป่าพรุมีความชื้นมากมักเกิดในบริเวณป่าอุดมสมบูรณ์ และสามารถไหวได้เมื่อเหยียบ

จากการที่ผมได้สอบถามปราชญ์ชาวบ้าน และได้รับขอมูลมาว่า แต่ก่อนนั้นป่าดงปงไหวมีความอุดมสมบูรณ์มาก เป็นต้นน้ำของทั้งอำเภอโดยพบตาน้ำมาก และพบสมุนไพรได้หลากหลาย

เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ และการเป็นต้นน้ำนี้เอง ทำให้พื้นที่ตรงนั้นมีการตั้งถิ่นฐานของชนชาวลัวะ ซึ่งไม่ทราบเวลาที่แน่ชัด ต่อมาเกิดโรคระบาด (คาดว่าเป็นโรคฝีดาษ) ทำให้ผู้คนล้มตาย และส่วนใหญ่อพยพไปเชียงราย และก็กลายเป็นเมืองร้างในเวลาต่อมา ทิ้งไว้เพียงแต่หลักฐานที่เป็นรูปธรรม เช่น เจดีย์ แหล่งฝึกเจิง สวนลำไยลุงแสน จอผีหมา ที่ตีเหล็ก และที่ไม่เป็นรูปธรรม เช่น ตำนานบอกเล่าจากปากสู่ปาก

เนื่องจากป่าดงปงไหวเป็นแหล่งต้นน้ำ จึงทำให้มีสัตว์น้อยใหญ่อาศัยอยู่ ทั้งนักล่าและผู้ถูกล่า ที่ปรากฎแน่ชัด คือ กระต่ายป่า หมาใน คนพื้นเมืองเรียกว่าหมาโจ หมาจิ้งจอก ชนพื้นเมืองเรียกว่าผีหมาจ๊อกวอ และวัวแดง มีหลักฐานที่อ้างอิงได้ คือ แหล่งที่ตั้งของป่าดงปงไหวชื่อตำบลร้องวัวแดง  มาจากคำว่า ร่องซึ่งเกิดจากที่พื้นที่มีตาน้ำมาก เมื่อไหลมารวมกันจึงเกิดเป็นร่องน้ำ เมื่อมีแหล่งน้ำเหล่าวัวแดงจึงออกจากป่ามาอาศัยอยู่บริเวณนั้น จึงเรียกว่าร้องวัวแดง 

ในปัจจุบันเกิดการรุกล้ำของมนุษย์ เช่น การทำการเกษตร การหาของป่าที่มากเกินไป ด้วยวิธีการเผาป่า ทำให้สัตว์ป่าหลาย ๆ ชนิดหายไปจากพื้นที่ โดยอพยพเข้าอยู่ในป่าลึก และบางส่วนก็สูญพันธุ์  พืชสมุนไพรบางชนิดหายไปจากพื้นที่ เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปเช่นต้นดองดึงและบางชนิดหายไปเนื่องจากการลักลอบขุดไปขายเช่นมะขามป้อมดินและฮ้อสะพายควาย

ในเวลาเดียวกันที่เกิดการรุกล้ำของมนุษย์ ก็มีคนบางส่วนที่ลุกขึ้นและอุทิศตนเป็นต้นแบบในการปกป้องพื้นที่ป่าแห่งนี้ เช่น ป้าจันทร์ฉาย ปราชญ์ชาวบ้าน ท่านได้ใช้ความรู้ทางสมุนไพรมาใช้ในการรักษาโรค และเผยแผ่ความรู้แก่ผู้อื่นโดยเน้นการสร้างจิตสำนึกแก่คนในชุมชน ในการหวงแหนและรักษาผืนป่า ร่วมกับหน่วยงานรัฐช่วยกันฟื้นฟูป่าด้วยการปลูกกลัวป่า ปลูกต้นไม้ เฝ้าระวังไฟป่า

ป่าดงปงไหวป่า ต้นน้ำที่ผลิตน้ำหล่อเลี้ยงมนุษย์ได้เหือดแห้งไป เนื่องจากน้ำมือขอมนุษย์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสัตว์น้อยใหญ่ตายจากไป และบางส่วนอพยพเข้าไปอยู่ป่าลึกและยากที่จะพบเห็นสมุนไพรบางชนิดได้หายไปส่งผลกระทบต่อชุมชนทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งมีคนบางส่วนที่เห็นความสำคัญและได้ลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีในการรักษาและปกป้องผืนป่า

เพื่อนำผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์กลับมาอีกครั้ง เพื่อนำภาพจำและชีวิตคืนผืนป่า  รักษาป่า ป่าก็จะรักษาเรานักปราชญ์ชาวบ้าน ป้าจันทร์ฉาย ได้กล่าวไว้

 

ภานุวัฒน์ สุภางาม

ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งจากกิจกรรม WILD-WRITE โครงการเปิดรับต้นฉบับบทความ สารคดี บทกวี บอกเล่าเรื่องราว ความสำคัญของงานอนุรักษ์และสิ่งแวดล้อม และสืบ นาคเสถียร ในความทรงจำ เนื่องในวาระครบรอบ 30 ปี สืบ นาคะเสถียร