จากเด็กกลัวความสูง สู่ ‘ดอยหลวงเชียงดาว’ ยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 3 ของไทย!

จากเด็กกลัวความสูง สู่ ‘ดอยหลวงเชียงดาว’ ยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 3 ของไทย!

การที่ได้ไปยังจุดสูงสุดบนยอดดอย คงเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน แต่ไม่ใช่กับเราแน่นอน ด้วยข้อจำกัดที่เราเป็นคนกลัวความสูงมาก ๆ มากขนาดที่เคยไม่กล้าขึ้นสะพานลอยเลยด้วยซ้ำ

ก่อนที่จะออกเดินทาง เราไม่พร้อมในหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านร่างกาย เพราะไม่สบายต่อกันหลายวัน ไหนจะเรื่องอุปกรณ์ที่ไม่มีเวลาไปซื้อเลย และสุดท้ายคือด้านจิตใจที่กลัวความสูงขั้นสุด

และแล้วก็มาถึงวันที่เราต้องออกเดินทาง จากนนทบุรีมุ่งหน้าสู่เชียงใหม่ ถิ่นช้างเผือก เราใช้เวลาเกือบ 12 ชั่วโมง กว่าจะมาถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว ที่ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวข้ามขีดจำกัดของเรา

จุดเริ่มต้น

PHOTO : คชาณพ พนาสันติสุข

วันที่ 26 กันยายน 2566 เวลา 13.00 น. เราเริ่มออกเดินทางจากจุด start ที่หน่วยพิทักษ์ป่าขุนห้วยแม่กอก (เด่นหญ้าขัด) ใช้เวลาเกือบ 5 ชั่วโมง กว่าจะมาถึงสามแยกปางวัว จุดพักแรมในคืนแรก ด้วยภารกิจที่เรามาคือสำรวจเพื่อจัดทำคู่มือเส้นทางศึกษาธรรมชาติ จึงทำให้ระหว่างทาง เราต้องเรียนรู้ระบบนิเวศและพืชพันธุ์ทั้งสองข้างทางไปด้วย โดยมีไกด์นำทีมจากทั้งทีมอาจารย์ของผู้จัดทำเอง และจากเจ้าหน้าพิทักษ์ป่าที่เก่งจนต้องยกตำแหน่งดร.ให้เลย

PHOTO : คชาณพ พนาสันติสุข

จากเด่นหญ้าขัดมาสามแยกปางวัว ดีกว่าที่เราคิด เนื่องจากอากาศที่เย็นสบาย ทำให้เราเดินได้เรื่อย ๆ ไม่เหนื่อย ประกอบกับได้หยุดแวะพักเพื่อดูพืชพันธุ์นานาชนิด ถึงจะได้ appreciate ธรรมชาติ แต่เราก็ยังไม่ลืมความกลัวที่มีต่อดอยนี้ได้ มีหลายจุดที่เรากลัวจนต้องเอามือมาบังเพราะไม่อยากเห็นความสูงนั้นเลยแหละ

เดินทางกันต่อ

PHOTO : คชาณพ พนาสันติสุข

ฝนตกหนักตั้งแต่เช้ามืดของวันที่ 27 กันยายน แต่เช้านี้เราต้องออกเดินทางกันต่อเพื่อไปยังอ่างสลุง ที่ที่เราจะไปพักค้างแรมในคืนที่สอง วันนี้ทุกคนต้องมีเพื่อนสนิทที่ชื่อว่า “เสื้อกันฝน” เพราะตลอดเส้นทางมีฝนตกต่อเนื่อง หนักบ้างเบาบ้างสลับกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด เพราะอุปสรรคที่แท้จริงของเราก็คือความสูงต่างหากเล่า

PHOTO : เกศรินทร์ เจริญรักษ์

ระหว่างทางนี้ เราได้ไต่ระดับความสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ เริ่มเดินช้าลง เหนื่อยมากขึ้น และความกลัวก็มากขึ้นไปอีก แต่ด้วยหมอกที่ปกคลุม ทำให้เรามองไม่เห็นว่าเราอยู่สูงขนาดไหนแล้ว แต่ทางข้างหน้าก็ยังมองเห็นนะว่ามันชันขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนอีกใจก็แอบเสียดายที่มองไม่เห็นวิวสวย ๆ เหมือนกัน

หยุด…เพื่อทบทวนตัวเอง

PHOTO : คชาณพ พนาสันติสุข

ในที่สุดเราก็มาถึงอ่างสลุง เราถอดเสื้อกันฝนออกเพื่อเอามารองนั่งและวางกระเป๋า เรานั่งพักอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลยเกือบ 2 ชั่วโมง เพื่อพักหายใจด้วยและทบทวนตัวเองว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

ระหว่างที่นั่งพัก จู่ ๆ ก็รู้สึกน้อยใจตัวเองซะงั้น คิดว่าถ้าไม่กลัวความสูงมันน่าจะดีกว่านี้ แล้วก็รู้สึกกลัวจะเป็นน้องภา(ระ)ของพี่ ๆ เพราะความไม่พร้อมของอุปกรณ์ และสภาพจิตใจ เลยเลือกที่จะอยู่เงียบ ๆ สักพักหนึ่งเลย

แต่ก็ต้องไปต่อ เพราะเรายังต้องเดินขึ้นสู่ยอดดอยที่เป็นจุดสูงสุดของขุนเขาแห่งนี้ 

PHOTO : คชาณพ พนาสันติสุข

ช่วงขึ้นแรก ๆ ท้องฟ้ายังคงแจ่มใส อากาศเริ่มร้อน และเห็นภูเขาชัดเจน ยอมรับว่าสวยมาก ๆ แต่ต้องเงยหน้าอย่างเดียวนะ ห้ามก้มไปมองข้างหลังเด็ดขาด 

แต่พอใกล้ถึงยอดดอยกลับมีหมอกหนามาปกคลุมซะงั้น และฝนก็เริ่มตก อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ เสื้อกันหนาวก็ไม่มี มีแค่เสื้อกันลมบาง ๆ เพียงตัวเดียว ส่วนวิวที่ทุกคนรอคอยก็ต้องอดไป เพราะ 360 องศาเต็มไปด้วยหมอกหนา ๆ จะเรียกว่าสวรรค์บนดินก็ไม่ผิดเลย ซึ่งก็สวยไปอีกแบบเหมือนกันนะ

PHOTO : เกศรินทร์ เจริญรักษ์

ถึงแล้ว ‘ค้อเชียงดาว’

PHOTO : คชาณพ พนาสันติสุข

จุดที่เรารู้สึกว่ามาถึงยอดดอยแล้วจริง ๆ กลับไม่ใช่ป้ายจุดสูงสุด แต่มันคือ “ต้นค้อเชียงดาว” เราได้มาเห็นค้อเชียงดาวใกล้ ๆ จริง ๆ มันไม่ใช่แค่ในรูปนะ เราได้มาเห็นกับตาตัวเองบนยอดดอยนี้ จากที่เคยคิดว่ามันสูงมาก ๆ เราขึ้นไปไม่ได้หรอก แต่วันนี้เราทำได้แล้ว เรารู้สึกปลดล็อกความรู้สึกตัวเอง ว่าเราไม่ได้มาเอาชนะความสูงเลย แต่มันคือการเอาชนะความกลัวของตัวเองต่างหาก

และสิ่งที่เราอยากมาเห็นจริง ๆ กลับไม่ใช่วิวบนยอดดอย แต่มันคือธรรมชาติ พืชพันธุ์ สัตว์ป่า ที่ยังคงอยู่ของระบบนิเวศบนดอยแห่งนี้ มันคือวิวระหว่างทางที่เราเดินมา นั่นต่างหากคือเป้าหมายที่แท้จริงของเรา

ความรู้สึกหลังจากนี้แหละคือของจริง

PHOTO : คชาณพ พนาสันติสุข

เมื่ออยู่บนยอดดอยสักพัก ฝนก็เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีท่าทีว่าท้องฟ้าจะเปิด จึงตัดสินใจเดินกลับลงมา วินาทีนี้เองที่เรารู้สึกว่าทางชันมาก ๆ สูงมาก ๆ ถึงจะมีหมอกหนาปกคลุมก็ตาม ฝนที่ตกหนักยิ่งทำให้ทางลื่นขึ้น และความกลัวก็ทวีขึ้นไปอีกเท่าตัว อากาศก็หนาว แว่นที่เต็มไปด้วยเม็ดฝน ก็เริ่มมองไม่เห็นทาง ยิ่งเช็ดก็ยิ่งมัว เพราะทุกอย่างอยู่ในสภาพเปียกแฉะ จากที่เดินขึ้นด้วย 2 ขา แต่ตอนลงต้องเพิ่ม 2 มือเข้ามาด้วย จากที่เดินต้องเปลี่ยนเป็นไถลลง เพราะเร็วและปลอดภัยกว่า (ลื่น 1 ครั้ง คือลื่นตลอดไป) อาจจะดูสมบุกสมบันไปหน่อย แต่กลับมีอีกหนึ่งความรู้สึกแทรกเข้ามา “สนุกแฮะ”

หมดเวลาสนุกแล้วสิ

PHOTO : คชาณพ พนาสันติสุข

เช้าวันที่ 28 กันยายน ถึงเวลาต้องกลับแล้ว สภาพอากาศยังคงเหมือนเดิม มีฝนตก อากาศหนาวเย็น เพิ่มเติมคือทางลงเขาที่เละขึ้น จากฝนที่ตกติดต่อกันหลายวัน เราต้องใช้สติในการเดินทุกย่างก้าว เพราะถ้าเผลอแค่แปบเดียว จะลื่นและล้มทันที (จริง ๆ นะ) แต่ด้วยเพราะความรู้สึกที่ปลดล็อก เราเลยมีความมั่นใจมากขึ้น และสนุกขึ้น ไม่ใช่ไม่กลัวแล้วนะ แต่เรายอมรับในความกลัวของเรา ว่าเรากลัวความสูงนะ แต่ถ้าเราจะไป เราก็ทำได้ แล้วก็ทำได้ดีกว่าที่คิดไว้ด้วย 

ได้ safe zone เพิ่มมาอีกหนึ่ง

ระยะทางกว่า 8.5 กิโลเมตร ไปกลับ 17 กิโลเมตร ความสูงกว่า 2,225 เมตรจากระดับน้ำทะเล ยอดเขาที่สูงที่สุดอันดับ 3 และเป็นเขาหินปูนที่สูงที่สุดอันดับ 1 ในประเทศไทย และกว่า 3 วัน 2 คืน ที่เราได้เผชิญ ได้ก้าวข้ามความกลัวที่เราคิดว่าเราทำไม่ได้ และได้ “ขยาย safe zone ของตัวเอง” ให้กว้างขึ้นไปอีก ได้มองเห็นโลกในมุมที่ต่างออกไป มันคือโอกาสที่ดีมาก ๆ ที่ให้เราได้เรียนรู้ จริง ๆ มันคือสิ่งที่เราสนใจอยู่แล้ว แต่ติดที่เรากลัวความสูงแค่นั้นเอง 

ถ้าเราเลือกที่จะยอมรับและเผชิญหน้ากับมัน สิ่งที่เราจะได้กลับมาคือโอกาสและประสบการณ์ที่ดี ที่แม้แต่ตัวเราเองก็คาดไม่ถึงเลยแหละ 

ถึงรอบนี้เชียงดาวจะใจร้ายไปหน่อย แต่ก็หวังว่ารอบหน้าเธอจะใจดีกับเรานะ “ดอยหลวงเชียงดาว”

PHOTO : คชาณพ พนาสันติสุข

ผู้เขียน

+ posts

สาวแว่นทาสแมวที่ชอบบอกเล่าเรื่องราวผ่านลายเส้น มีธรรมชาติช่วยฮีลใจ และหลงใหลในพระจันทร์เสี้ยว