จากภาพวีดีโอของชายที่กำลังยื้อชีวิตกวางในรายการส่องโลก ถึงบทเพลง ‘สืบทอดเจตนา’ ของ ‘ยืนยง โอภากุล’ นั่นเป็นครั้งแรกๆ ที่ทำให้เราได้รู้จัก ‘สืบ นาคะเสถียร’ ชายผู้ทุ่มเทชีวิตให้กับผืนป่าและสัตว์ป่าไทย
หลังจากนั้นเรื่องราวของสืบยังคงได้รับการถ่ายทอดเรื่อยมา ทั้งจากนิตยสารสารคดี ฉบับรำลึก 10 ปี และ 20 ปี สืบ นาคะเสถียร สารคดีแสงไฟที่ไม่เคยดับทางช่องไทยพีบีเอส และสกู๊ปต่างๆ อีกมาก เพื่อคอยย้ำเตือนให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญในสิ่งที่สืบพยายามรักษาไว้ด้วยชีวิต
มาถึงวันนี้ เป็นอีกครั้งที่เรื่องราวของ ‘สืบ นาคะเสถียร’ ถูกนำมาถ่ายทอดผ่านบทภาพยนตร์ขนาดสั้นชื่อ ‘ฝนตกที่ห้วยขาแข้ง’ โดยฝีมือการกำกับและเขียนบทของ โอ๋ ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ
ผู้กำกับหนุ่ม บอกว่าเขาเคยเสนอให้นำเรื่องของ สืบ นาคะเสถียรไปสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่ไม่มีใครสนใจจะสร้างจริงๆ ทำให้เรื่องนี้เป็นได้เพียงสิ่งที่ถูกจดไว้ในสมุดบันทึก กระทั่งได้รับโอกาสจาก บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ให้เข้ามารับหน้าที่กำกับภาพยนตร์ในโครงการ ‘คีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์’ ซึ่งเป็นการนำเอาแรงบันดาลใจที่ได้รับจากบทเพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาสร้างเป็นภาพยนตร์
โอ๋ ภาคภูมิ เลือกเอาเพลง ‘สายฝน’ มาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการถ่ายทอดเรื่องราว เขาบอกว่าฟังเพลงนี้แล้วทำให้นึกถึงสืบ นาคะเสถียร
“สมัยผมเด็กๆ ผมได้ชมวีดีโอเรื่องคุณสืบในโรงเรียน ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังช่วยชีวิตกวาง ตอนนั้นก็สงสัยว่าทำไมโรงเรียนถึงเปิดวีดีโอชุดนี้ถี่จัง มารู้ทีหลังว่าตอนนั้นเป็นช่วงที่คุณสืบเสียพอดี ผมก็เห็นซ้ำๆ ทุกวันที่โรงเรียน พอโตขึ้นมาก็เริ่มศึกษาข้อมูลจนรู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ตั้งแต่นั้นก็ประทับใจเรื่องคุณสืบมาตลอด”
“พอได้ฟังเพลงสายฝนก็เลยนึกถึงคุณสืบขึ้นมาทันที และคิดว่านี่ล่ะคือโอกาสที่จะได้ทำ ผมเลยเอาพล็อตเรื่องคุณสืบเข้าไปเสนอ ในใจก็หวั่นๆ ว่าจะไม่เกี่ยวอะไรกับโครงการนี้ เพราะเขาอยากจะทำภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ”
“แต่ผมรู้สึกว่าสิ่งที่คุณสืบทำ คือ การเสียสละเพื่อส่วนรวม หลายสิ่งที่คุณสืบทำล้วนเป็นคุณูปการต่อประเทศ ซึ่งตรงกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสอยู่เสมอ ผมอยากให้ผู้ชมมองตรงที่การกระทำ ไม่ใช่มองแค่รูปธรรม ซึ่งทางเจ้าของโครงการก็เข้าใจ ผมจึงได้เริ่มต้นทำฝนตกที่ห้วยขาแข้ง”
ท่อนไหนของเพลง ‘สายฝน’ ที่พอฟังแล้วทำให้รู้สึกว่าต้องเป็นเรื่อง ‘สืบ นาคะเสถียร’
ตรงที่ร้องว่า “เมื่อลมฝนบนฟ้ามาลิ่ว ต้นไม้พลิ้วลู่กิ่งใบ เหมือนจะเอนรากคลอนถอนไป แต่เหล่าไม้ยิ่งกลับงาม” พอฟังท่อนนี้แล้วภาพสืบ นาคะเสถียรก็ปรากฏขึ้นทันที ผมรู้สึกถึงการต่อสู้ที่เขียนอยู่ในท่อนนี้ ฝนตก พายุมา เหมือนจะเอนรากคลอนถอนไป แต่ต้นไม้ป่าไม้กลับชุ่มชื้น มันเหมือนชีวิตของคุณสืบที่คล้ายว่าจะแพ้แต่ก็ชนะ แล้วพอกลับไปหาข้อมูลอีกหลายๆ อย่าง ก็เจอจุดเชื่อมต่อไปยังเรื่องราวต่างๆ ได้พอดี ผมไม่รู้มาก่อนว่าคุณสืบมีลูกสาว (‘น้ำฝน’ ชินรัตน์ นาคะเสถียร) ก็เลยพยายามอ่านบทสัมภาษณ์ลูกสาวคุณสืบว่าเป็นอย่างไร ก็คิดว่าถ้าเอาเรื่องของลูกสาวมาห่อเรื่องราวของคุณสืบไว้ให้เป็นจุดเริ่มต้นและบทส่งท้ายของหนังน่าจะดี เหมือนเป็นเรื่องที่คุณสืบได้เล่าให้ลูกสาวฟัง
จากที่ผมได้อ่านเรื่องราวของคุณสืบมา ผมเห็นมีคนตั้งคำถามว่าการฆ่าตัวตายของคุณสืบมันดีจริงหรือ มันใช่ทางออกที่ดีหรือเปล่า หรือมันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ ผมเห็นคนจำนวนหนึ่งยังกังขาในเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่าจำเป็นต้องเล่าเรื่องนี้ออกไปให้ชัดเจน ผมไม่คิดว่าการฆ่าตัวตายของคุณสืบเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบหรือความคิดของคนที่กำลังน้อยใจ ผมคิดว่าเขามีเหตุผลที่ทำแบบนี้ ผมเลยเขียนบทให้มีจดหมายที่พ่อเขียนถึงลูก เป็นต้นตอเรื่องว่าการฆ่าตัวตายเป็นเพราะแบบนี้ ผมรู้สึกว่าต้องใส่สิ่งนี้ลงไปเพื่อให้คนที่ยังกังขาถึงเรื่องนี้เข้าใจว่าคุณสืบคิดอะไรอยู่
คุณภาคภูมิเคยกังขาบ้างไหม
ผมไม่เคยคิดเลยครับ จนมาอ่านความคิดเห็นของบางคนที่ตั้งคำถามถึงเรื่องนี้ ผมก็เกิดความสงสัยว่าทำไมเราถึงไม่เคยคิดเรื่องนี้ เลยพยายามตอบตัวเองด้วยการศึกษาเรื่องราวให้มากขึ้นว่าเป็นอย่างที่คนอื่นตั้งคำถามจริงหรือเปล่า ผมคิดว่าเรื่องนี้เราต้องเอาบริบทต่างๆ ที่แวดล้อมตัวคุณสืบมาประกอบ การมองแค่เรื่องการฆ่าตัวตายเพียงอย่างเดียวคงหาคำตอบไม่ได้ ต้องมองให้เห็นถึงปัญหาและบริบทชีวิตการต่อสู้ของคุณสืบไปด้วย แล้วถึงจะเข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ พอได้อ่านเรื่องราวทั้งหมดเราจะรู้ว่านี่ไม่ใช่การฆ่าตัวตายอย่างธรรมดานะ
ทำไมถึงเลือกช่วงชีวิต 5 ปีก่อนการฆ่าตัวตายมานำเสนอ
ตอนกำลังเขียนบทผมมีข้อมูลอยู่ในมือเยอะมาก อยากนำหลายๆ เรื่องมาเล่า แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอาช่วงที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตคุณสืบจากบทบาทนักวิชาการมาเป็นนักอนุรักษ์ นักเคลื่อนไหวเรื่องสิ่งแวดล้อมมาเล่าในหนัง ผมคิดว่าช่วงชีวิตตรงนี้ของคุณสืบเข้มข้นที่สุด น่าสนใจที่สุด เพราะเรามีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงก็เลยตัดสินใจเอาหัวใจของเรื่องมาเล่า
พอหนังเริ่มเล่าเรื่องสืบ นาคะเสถียร ก็เป็นฉากปั้มหัวใจกวางเลย
เพราะเป็นฉากที่ทุกคนจดจำ ผมรู้สึกว่าถ้าจะเริ่มเรื่องของคุณสืบต้องเป็นภาพนี้เท่านั้น ตอนแรกโปรดิวเซอร์รวมถึงผู้เกี่ยวข้องบอกผมว่าฉากนี้คงทำไม่ได้ มันไม่มีเงินและเวลามากขนาดที่จะเอากวางไปอยู่ในน้ำกลางเขื่อนแล้วมีคนขับเรือไปช่วย สำหรับคนทั่วไปอาจคิดว่าทำง่าย แต่การถ่ายภาพยนตร์มันไม่ง่ายเลย ต้องใช้คนเป็นร้อย ต้องมีกวาง มีไฟ มีเครื่องบันทึกเสียงและอุปกรณ์อีกสารพัด เรื่องที่จะขนคนและอุปกรณ์ไปอยู่กลางเขื่อนอย่างนั้นไม่ง่ายเลยครับ แต่ผมก็พยายามปรับลดอะไรหลายๆ อย่างฝืนจนทำฉากนี้ออกมาได้ ผมคิดว่าถ้าจะดึงผู้ชมเข้ามาในหนังต้องเริ่มจากฉากที่เขาคุ้นตาก่อนถึงจะทำให้ผู้ชมเข้าไปอยู่กับหนังได้
ยังมีแง่มุมไหนของสืบ นาคะเสถียรที่อยากเล่า แต่ไม่ได้ใส่ไว้ในหนังเรื่องนี้
ในหนังเรื่องนี้ยังไม่ได้เล่าว่าตัวของคุณสืบถูกสร้างขึ้นมาจนเป็นแบบนี้ได้อย่างไร ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้ มันยังขาดที่มาของคุณสืบ ตอนผมไปชมบ้านสืบ นาคะเสถียรที่ห้วยขาแข้ง ผมเห็นร่องรอยต่างๆ จากภาพถ่ายและสิ่งของที่อยู่ตรงนั้น มันยังสามารถนำมาปะติดปะต่อเรื่องราวได้มากกว่านี้ เหตุการณ์มันจะไม่ได้ปะดังปะเดเข้ามาอย่างที่ได้ชมกัน บางคนอาจจะรู้สึกว่าเครียด เหมือนโดนต่อยไม่หยุด แต่เพราะเป็นหนังสั้น ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ ที่ต้องเล่า
ทำไมถึงเลือก ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม มารับบทเป็น สืบ นาคะเสถียร
ผมเลือกปีเตอร์ไว้ตั้งแต่ตอนที่เริ่มคิดพล็อตเรื่องแล้วครับ ผมเคยเห็นภาพถ่ายของปีเตอร์ตอนแสดงภาพยนตร์เรื่องนางไม้ เป็นภาพเขาใส่แว่นยืนอยู่กลางป่า พอกลับมาไปดูภาพนี้อีกทีก็ตัดสินใจเลยว่าต้องเป็นเขา และผมก็ค่อนข้างชอบการแสดงของปีเตอร์อยู่แล้ว ปีเตอร์เป็นนักแสดงสายดราม่าเข้มข้น เป็นคนที่อยู่ในบทตลอดเวลาไม่ว่าจะเลิกกองไปแล้วก็ยังอินกับบท พอเขารู้ว่าจะได้รับบทสืบ นาคะเสถียร เขาก็กลับไปดูวีดีโอรายการส่องโลก พยายามทำตัวเองให้เหมือนคุณสืบมากที่สุด ทั้งท่าทาง น้ำเสียง แววตา เขาจะดูว่าคุณสืบใช้สายตาอย่างไรในวีดีโอเขาก็พยายามใช้สายตาให้คล้ายกับคุณสืบ อยู่ในกองเขาก็จะไม่เล่นอะไรมาก พอเรียกเข้าแสดงก็อินกับบทได้ทันทีเหมือนกับเขาพร้อมอยู่ตลอดเวลา ผมทำงานมาพอสมควรผมไม่ค่อยได้เจอนักแสดงที่ตั้งใจขนาดนี้ และรู้สึกได้ว่าเขาตั้งใจมากกับบทสืบ นาคะเสถียร
จากวัยเด็กที่ได้รู้จักสืบ นาคะเสถียร จนมาทำภาพยนตร์ได้พูดคุยกับเพื่อนและผู้ร่วมงานของสืบ นาคะเสถียร ภาพของสืบ นาคะเสถียรต่างไปจากเดิมไหม
ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าคุณสืบน่าจะเป็นคนเครียดๆ ชอบหมกหมุ่นกับงานไม่สนใจใคร แต่จากที่ได้ไปพูดคุยกับพี่วีรวัธน์ ธีระประสาธน์ (เพื่อนสนิทของสืบ นาคะเสถียร) และพี่ๆ ที่ห้วยขาแข้ง ผมรู้สึกว่าคุณสืบก็เป็นเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง มีอารมณ์สนุกสนาน กินเหล้ากับลูกน้องบ้าง เป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้โศกเศร้าตลอดเวลาเหมือนอย่างที่เคยคิด พอได้รู้แบบนี้แล้วผมยิ่งรู้สึกสะเทือนใจต่อสิ่งที่คุณสืบทำมากขึ้น คุณสืบก็เป็นมนุษยปุถุชนที่รักชีวิตเหมือนคนอื่น แต่ก็เลือกที่จะทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมมากกว่าตัวเอง มันยิ่งทำให้ผมประทับใจเรื่องของคุณสืบมากยิ่งขึ้น
คุณภาคภูมิประทับใจอะไรในตัวสืบ นาคะเสถียรมากที่สุด
ที่ผมประทับใจมากๆ เป็นเรื่องที่คุณสืบยืนต่อสู้อยู่คนเดียวในช่วงเวลาที่ไม่มีใครตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมเลย ตอนนี้การแก้ปัญหาอาจจะดีขึ้นแต่ก็ไม่ได้ดีมาก แต่ถ้าไปเทียบกับเมื่อ 30 ปีที่แล้วมันคงเป็นสิ่งที่ลำบากยากเข็ญมากที่จะทำให้ประชาชนรับรู้และตื่นตัวกับปัญหาเหล่านี้ เขาพยายามทำให้สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงแม้ในเวลาที่ยากลำบาก ผมคิดว่าใครสักคนที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรอย่างคุณสืบในเวลานั้นได้ต้องเป็นคนที่มีความกล้าหาญอย่างมาก ซึ่งคุณสืบทำได้
ใครหลายๆ คนอาจบอกว่าฉันจะทำแบบนั้น จะทำแบบนี้ แต่เอาเข้าจริงคนที่จะลุกขึ้นมาอยู่อย่างกล้าแข็งแบบคุณสืบมันมีไม่กี่คน ผมประทับใจคุณสืบในเรื่องนี้มาก ผมคิดว่าถ้าประเทศเรามีคนอย่างคุณสืบ นาคะเสถียรสักร้อยคน ประเทศเราคงเจริญไปแล้ว แต่บังเอิญว่ามันมีน้อยอย่างกับสัตว์ป่าสงวน
ผู้เขียน
ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม