ค่ำคืนวันที่ 31 สิงหาคม 2550 เป็นคืนแรม 3 ค่ำ เดือน 9 ฝนฟ้าพรำเย็นเห็นประกายฝนกระทบแสงไฟที่ลอดจากห้องบนบ้านพักป่าไม้เก่าทางด้านทิศใต้ ผมพบตัวเองนั่งบนทางที่ทอดระหว่าง “อนุสาวรีย์คุณสืบ นาคะเสถียร” และบ้านที่เรียกว่า “บ้านสืบ นาคะเสถียร” ไม่ไกลนักมีเสียงเพลงแว่วค่อยๆ มาจากอาคารหลังใหญ่ที่ถูกสร้างไว้หลังเนินดินกลมกลืนกับภูมิประเทศ ทำให้หลังเนินนั้นทำหน้าที่กำบังแสงและเสียงที่ลอดมาจนแทบไม่ได้ยิน
ที่อาคารอนุสรณ์สถานสืบ นาคะเสถียรหลังนั้น มีกิจกรรมรำลึกการจากไปของหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เมื่อเช้ามืดของวันที่ 1 กันยายน 2533 นับเวลาได้ 17 ปีที่ผ่านมา
สี่ปีที่ผ่านมาในช่วงเวลานี้ของคืนวันที่ 31 สิงหาคม ผมมักนัดหมายกับตัวเองเพื่อให้ได้มาอยู่นิ่งๆ สงบๆ แถวๆ ทางเดินเท้าเส้นนี้ บางครั้งแอบนอนชมดาวบนสนามหญ้าหน้ารูปปั้น บางครั้งเดินกลับไปกลับมาอยู่บนทางปูนนี้อยู่คนเดียว
หลายครั้งที่รู้สึกตัวว่ามีพลังอะไรบางอย่างมากระทบ เมื่อเดินเข้าใกล้บ้านพักเก่าๆ หลังนั้น เมื่อผ่านถึงบริเวณหน้าบันได แน่นอนผมไม่สามารถรู้ได้ว่าความรู้สึกนั้นจะมาจากแหล่งกำเนิดใดที่อาจยังคงพลังงานอยู่ถึง 17 ปี หรือเป็นความรู้สึกภายในตัวเองขณะที่เหม่อลอยคอยคิดเรื่องป่าเรื่องเมืองอยู่คนเดียว
หลายครั้งจินตนาการอยู่ว่า สักวันอาจมีความบังเกิดรู้ขึ้นมาได้ว่าคุณสืบคิดอย่างไรกับวันเวลาเมื่อครั้งนั้น มาจนถึงเวลาวันนี้ แต่นั่นก็เป็นเพียงความรู้สึกพื้นฐานทั่วไปของผู้คนที่มักอยากทราบเรื่องในมิติกาลที่ตัวเองไม่อาจล่วงถึงโดยกายสัมผัส
ดังนั้น คงไม่แปลกที่ผู้คนมักอาศัยช่วงเวลาการปล่อยความคิดล่องความรู้สึกตามไปเพื่อเข้าใจไปเองต่างๆ นานา โดยไม่รู้ว่าความจริงแล้วสิ่งที่จริงแท้คืออะไร แต่นั่นคงเป็นเพียงที่หลายคนมีสิทธิทำได้ ตามที่ข้อจำกัดทางธรรมชาติเปิดช่องให้ทำ
ปัญหาใหญ่ของการทำงานเพื่อสืบทอดเจตนาของคุณสืบ คือความยากของการตอบคำถามทั่วๆ ไปที่ว่า “มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ทำอะไร ? และจะสำเร็จไหม?”
คำตอบที่ตอบยากเย็น เพราะปัจจัยที่สามารถรักษาป่าไม้ให้ได้มีมากมายเกินกว่าจะตอบคำถามให้สั้นและครอบคลุม ที่สำคัญคือการบรรลุเจตนาเช่นนั้นไม่สามารถทำสำเร็จได้ด้วยผู้คนหรือองค์กรเพียงกลุ่มเดียว หน่วยเดียว ที่สำคัญคือตัวชี้วัดความสำเร็จล้วนแปรผันไปตามความคาดหวังและความแตกต่างของความรู้สึก เชื่อไหมว่าที่ง่ายกว่านั้นคือคำถามถึงเหตุผลที่คนทำงานของมูลนิธิสืบทำเช่นนั้น
เจ้าหน้าที่ภาคสนามหลายคนของมูลนิธิ กระจายอยู่ในหมู่บ้านกลางป่าเพื่อประสานความเข้าใจกับพี่น้องชาวบ้านกลางป่ากับเจ้าหน้าที่อนุรักษ์เพื่อหารูปแบบอย่างสมดุลและยั่งยืน เนื่องจากเราเข้าใจว่าพี่สืบเป็นตัวอย่างที่ดีอย่างยิ่งในการทำงานอย่างมีส่วนร่วม มีทัศนคติที่เข้าอกเข้าใจชาวบ้าน และให้ความสำคัญกับการทำงานกับผู้คนทุกระดับ
วันนี้เรายังพยายามหาทุนสนับสนุนให้กองทุนเพื่อผู้พิทักษ์ป่า เพื่อจัดสรรเงินจำนวนหนึ่งให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิต พยายามที่จะช่วยให้บุตรธิดาของเขาเหล่านั้นสามารถเรียนจบจนอายุบรรลุนิติภาวะ ใน 17 ปีที่ผ่านมาเราคงภารกิจที่ว่าอย่างสม่ำเสมอ ด้วยเหตุผลที่ว่า พี่สืบเป็นข้าราชการที่รักและเอาใจใส่ลูกน้อง พยายามที่จะช่วยเหลือในเรื่องสวัสดิภาพ สวัสดิการและทุกคนทราบดีว่าพี่สืบเจ็บปวดเพียงใด เมื่อต้องประสบเหตุที่ลูกน้องได้รับอันตราย
วันนี้เรายังคงพยายามรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบ และเหตุผลที่ต้องทักท้วงรณรงค์คัดค้าน โครงการหรือนโยบายจากรัฐและเอกชนที่จะมีผลกระทบต้อผืนป่าตลอดเวลาที่ผ่านมาสามสี่ปีนี้ พวกเราตัดสินใจคัดค้าน โครงการตัดถนนผ่านป่าหลายสายคัดค้านกิจกรรมการก่อสร้างท่อผันน้ำผ่านป่า ทักท้วงการเปลี่ยนพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง บริเวณรอบน้ำตกทีลอซูเป็นอุทยานแห่งชาติ
วันนี้เรากำลังเก็บข้อมูลทักท้วงการรื้อฟื้นโครงการเขื่อนแม่วงก์ของกรมชลประทาน สิ่งเหนื่อยหน่ายที่สุดคือการคัดค้านการสืบความคิดแก้กฎหมายอุทยานแห่งชาติ และกฎหมายสงวนและรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ที่เกิดขึ้นตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วมาจนถึงรัฐบาลนี้เพื่อให้เอกชนสามารถเช่าพื้นที่ป่าอนุรักษ์ไปทำการท่องเที่ยว และให้ประเทศไทยประกอบธุรกิจค้าสัตว์ป่ากันได้อย่างใหญ่โต แต่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องยังพยายามเดินหน้ากันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ต้องโดนข้อหาขัดขวางความเจริญ จนถึงขั้นที่ว่าเป็นองค์กรที่รับเงินต่างชาติมาทำลายความก้าวหน้าของประเทศไทย แต่เมื่อคิดถึงเหตุผลที่พี่สืบซึ่งเป็นราชการแท้ๆ ยังกล้าที่จะให้ความเห็นอีกมุมหนึ่งต่อรัฐบาล ในกรณีไม่ควรสร้างเขื่อนไม่ควรพัฒนาเข้ามาในป่าอนุรักษ์อีกต่อไป ดังนั้น คนที่ประกาศตัวจะทำงานให้คุณสืบคงไม่ต้องหวั่นเกรงต่อปัญหาใดๆ เช่นกัน เพื่อ “ทำหน้าที่ทางศีลธรรมของมนุษย์ในการปกป้องคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ และพิทักษ์สิทธิของสัตว์ป่าที่จะดำรงชีวิตตามวิถีธรรมชาติของสัตว์ป่าเหล่านั้น” และนั่นก็เพียงพอทีทำให้เกิดแรงผลักดันให้พวกเราทำงานต่อไป
ปอยฝนโปรยลงมาต่อเนื่อง แต่ไม่มีทีท่าจะหนักขึ้น อีกสักครู่จะมีผู้คนนับร้อยเดินมาที่นี่เพื่อจุดเทียนระลึกถึงคุณสืบที่รอบอนุสาวรีย์ ผมรู้สึกมั่นใจว่าแสงเทียนคืนนี้สามารถส่องแสงจากแรงไหม้ใส้เทียน สู้ประกายฝนได้
แต่แรงไฟที่คุณสืบเผาตัวเองจะคงสว่างไปอีกนานเท่าใด ในภาวะที่เชื้อไฟอาจไม่มากพอ ผมรู้สึกว่าได้ยินเป็นคำขู่ที่ความมืดรอบตัวของผมกำลังสื่อสารเพื่อคุกคามพวกเรา
เทียนเล็กๆ ที่ผู้พิทักษ์ป่าคนแรกที่จุดนำในค่ำคืน เกินพ้นมุมเนินมาให้เห็น ทำให้ผมยังมั่นใจว่า ไม่ว่าแสงเทียนเล็กน้อยเพียงใด หากถูกจุดขึ้นล้วนสามารถแผ่ไปในความมืด
แต่กลับกัน… ผมไม่เคยเห็นความมืดใดที่กล้าหาญกรายเข้าในแสงเทียน
ผู้เขียน
ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร (18 กันยายน 2558 - 2566)