เจ้าสัวเปรมชัย ประธานบริษัทอิตาเลียนไทยและคณะ แอบเอาปืนที่ใช้ล่าสัตว์เข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ ปีที่แล้ว หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่พบซากเสือดำที่ถูกยิง คณะเดินทางทั้งหมดโดนจับดำเนินคดีทั้งร่วมกันล่าสัตว์ป่า และครอบครองซากสัตว์ป่า
ผู้ต้องหาไม่รับสารภาพ สังคมเชื่อว่าเจ้าสัวเข้าไปมีจุดมุ่งหมายล่าสัตว์ และได้ยิงเสือดำ
ครบรอบ 1ปี ศาลชั้นต้นมีกำหนดฟังคำพิพากษา วันที่ 19 มีนาคม 62
วิเคราะห์รูปคดี
1. ครอบครองซากสัตว์ป่า ทุกคนคงปฏิเสธไม่ได้ แต่โทษไม่มากนัก โทษปรับคงโดนแน่ แต่โทษจำคุก เดาว่าอาจจะแค่รอลงอาญา อาจจะเพราะความผิดครั้งแรก
2. คดีร่วมกันล่าสัตว์ป่า เนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่พบเห็นขณะก่อเหตุยิงเสือ ได้แต่รวบรวมพยานหลักฐานกล่าวโทษทุกคนที่ร่วมในคณะ ซึ่งประกอบไปด้วยตัวเจ้าสัวเปรมชัย หัวหน้าคณะ เจ้าของรถ เจ้าของปืน ลูกน้องคนสนิท เจ้าหน้าที่บริษัทอิตาเลียนไทย ผู้หญิงที่ไปทำครัวให้ และชาวบ้านที่ว่ากันว่าเป็นพรานป่า
3. จากข่าวที่ปรากฏพบว่าหัวหน้าคณะคือเจ้าสัวเปรมชัยปฎิเสธไม่รับรู้ว่ามีซากเสือดำได้อย่างไร เพราะตนเองขับรถไปจากที่ตั้งแคมป์ กลับมาพบซากเสือดำ
4. เจ้าหน้าที่พบว่าคณะเปรมชัยนำหางเสือมาทำอาหารกินกันด้วย มีร่องรอยเลือดเสือในบริเวณนั้นชัดเจน และเป็นเลือดที่มี DNA เดียวกันที่มีดทำครัว และเขียงด้วย
5. การติดตามคดีทั้งหมดเมื่อเปรมชัยปฏิเสธ แต่มีประเด็นสำคัญระหว่างให้การคือ นายธานีที่ว่ากันว่าเป็นพรานป่าพาไป ไม่ได้ขึ้นให้การทั้งสองครั้ง โดยอ้างว่าป่วย ไม่สามารถให้การได้ ดังนั้นอัยการจึงไม่ได้ซักถามพยานปากนี้ ดังนั้นจึงวิเคราะห์พอได้ว่าน่าจะไม่ได้การเชื่อมโยงการให้การไปหาเจ้าสัวเปรมชัย
6. ไม่มีใครรู้ความจริงในรายละเอียดที่เกิดขึ้นนอกจากคนทั้ง 4 คน
7. ผมเพียงหวังว่า ความความผิดของคณะผู้ต้องหาคดีนี้ จะปรากฏขึ้นตามความจริง และถูกลงโทษตามควรแก่เหตุจริงๆ เพื่อเป็นบรรทัดฐานของสังคม