แถลงการณ์ ข้อกังวลและห่วงใยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ชุ่มน้ำเวียงหนองหล่ม จังหวัดเชียงราย

แถลงการณ์ ข้อกังวลและห่วงใยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ชุ่มน้ำเวียงหนองหล่ม จังหวัดเชียงราย

“เวียงหนองหล่มหรือเวียงจะล่ม” สถานการณ์การพัฒนาเมกะโปรเจกต์ของรัฐไทยบนพื้นที่ชุ่มน้ำเวียงหนองหล่ม จังหวัดเชียงราย ที่มีความสำคัญในระดับนานาชาติหรือแรมซาไซต์ (Ramsar Site) จากกรณี มีมติและข้อสั่งการของประธานในการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๕ ระบุข้อมูลว่า แผนงานพัฒนาพื้นที่เวียงหนองหล่มและพื้นที่โดยรอบนี้ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๓ พันกว่าล้านบาท และต่อมาพัฒนาทำร่างแผนหลักการพัฒนาและฟื้นฟูเวียงหนองหล่ม จังหวัดเชียงราย (๒๕๖๖ – ๒๕๗๐) ขึ้น โดยร่างดังกล่าวได้รับมติเห็นชอบในที่ประชุม กนช. เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๕ แผนดังกล่าวมีใจความสำคัญระบุว่า ประกอบด้วย แผนพัฒนาทั้งหมด ๕ ด้าน ๖๕ โครงการ โดย ๕ ด้านนั้น ได้แก่ การบริหารจัดการพื้นที่ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยวและโบราณคดี และการส่งเสริมอาชีพและพัฒนาต้นทุนคุณภาพชีวิต ทั้งหมดนี้ใช้วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓,๘๘๐.๘๕ ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมากระบวนการมีส่วนร่วมโดยรอบของพื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็นทั้งหมดนั้นเรียกได้ว่าโดนหลอกกันทั้งหมด “เราอ่านรายละเอียดตอนแรกบอกว่าเขาจะทำโครงการขุดเป็นแอ่งน้ำ ก่อนหน้านี้มีแบบขุดลอกเดิมที่จะขุดกว้างสักประมาณ ๑๐๐ – ๒๐๐ เมตร แต่ทีนี้สถานการณ์พลิก เขาไปออกแบบโครงการใหม่โดยชาวบ้านไม่รู้เรื่อง แล้วตอนทำประชาคมส่วนมากก็เป็นแค่คนแก่เข้าร่วมไปทำประชาคมกันในวัด คนแก่ฟังไม่รู้เรื่องก็ไปยกมือให้เขาทำในตำบล นี่คือโดนหลอกกันหมด” นี่คือเสียงจากคนในพื้นที่

แต่ทั้งนี้ หวั่นว่าการเดินหน้าดำเนินโครงการจะทำให้ประเทศไทยเป็นที่อับอายและสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพบนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับประเทศ ซึ่งประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ (อนุสัญญาแรมซาร์) ตั้งแต่วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๑ โดยถือเป็นสมาชิกลำดับที่ ๑๑๐ จากจำนวนภาคีสมาชิกทั้งหมด ๑๗๐ ประเทศทั่วโลก และเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๓  คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ประกาศว่าพื้นที่เวียงหนองหล่มเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ

ดังนั้น สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทยและเครือข่ายพันธมิตรด้านสิ่งแวดล้อมมีเจตจำนงต่อความกังวลและห่วงใยกับการดำเนินโครงการดังกล่าว จึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานทบทวน และให้ตระหนักถึงความสมดุล และความสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยมีการตรวจสอบกระบวนการขั้นต้นต่อการดำเนินโครงการ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อฐานทรัพยากรธรรมชาติทั้งในปัจจุบันและระยะยาว ตลอดจนความห่วงใยในฐานะประเทศไทยที่ร่วมให้สัตยาบันในภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ (อนุสัญญาแรมซาร์) ร่วมกับนานาประเทศ แต่ไม่สามารถทำได้ตามที่ให้สัตยาบันไว้

ด้วยจิตคารวะ

สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย และเครือข่ายพันธมิตรด้านสิ่งแวดล้อม