จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2564 ที่เจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจอุทยานแห่งชาติไทรโยค (ส่วนกลาง) พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบล่าสัตว์ พันจ่าเอก พิสนุ สังกัดหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 11 สำนักงานพัฒนาภาค 1 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ขณะกระทำความผิดโดยที่มือด้านขวาถืออาวุธปืนเดี่ยวยาวลูกกรด ขนาด .22 LR พร้อมแม็กกาซีน กระสุนขนาด .22 จากการตรวจค้นเพิ่มเติมยังพบอาวุธปืนพกสั้น ขนาด 9 มม. กระสุนปืนขนาด 9 มม. มีดพกสั้นจำนวน 1 เล่ม ยาบ้า จำนวน 4 เม็ดครึ่ง พร้อมอุปกรณ์เสพยา และกัญชาอัดแท่ง ใกล้จุดเกิดเหตุยังพบซากนกเงือก จำนวน 7 ซาก ซากนกกาเหว่า จำนวน 2 ซาก ซากนกเขียวคราม จำนวน 1 ซาก คณะเจ้าหน้าที่ได้ตรวจค้นรถยนต์พบอาวุธปืนเดี่ยวลูกซองยาว ขนาดเบอร์ 12 จำนวน 1 กระบอก ลูกกระสุนปืนขนาดเบอร์ 12 จำนวน 14 นัด มีดพกสั้นจำนวน 3 เล่ม มีดพล้าโต้ยาว จำนวน 1 เล่ม หม้อแปลงสำหรับช๊อตปลา จำนวน 1 ตัว แร้วดักสัตว์ป่า(แร้วคอม้า) จำนวน 23 อัน แร้วดักสัตว์ป่า(จิก) จำนวน 31 อัน ของกลางทั้งหมดอยู่ภายในรถยนต์ใกล้จุดเกิดเหตุ โดยพันจ่าเอกพิสนุ ยอมรับว่าของกลางดังกล่าวเป็นของตนเอง
จากพฤติการณ์ และของกลางที่ตรวจพบ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพันจ่าเอกพิสนุ มีความตั้งใจเข้าไปยังอุทยานแห่งชาติไทรโยค เพื่อล่าสัตว์ป่าเป็นการเฉพาะ โดยไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น
มูลนิธิสืบนาคะเสถียรขอประณามการกระทำดังกล่าวซึ่งเป็นการกระทำอันน่าอัปยศที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีกแล้วในยุคสมัยนี้ จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีและดำเนินการลงโทษทางวินัยให้ถึงที่สุด และขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนสิทธิ สร้างมาตรการควบคุมที่เหมาะสม และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดในการพกพาอาวุธปืน เครื่องกระสุน และอาวุธมีดไปในที่สาธารณะ ทั้งข้าราชการและประชาชนทั่วไปว่ามีความจำเป็นและสมควรแก่เหตุหรือไม่ รวมถึงเครื่องมือดักสัตว์ต่างๆหากมีไว้ในครอบครองควรให้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจอุทยานแห่งชาติไทรโยค (ส่วนกลาง) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สำหรับการปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด และขอชื่นชมประชาชนผู้หวังดีที่คอยเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ แจ้งเบาะแสจนนำมาซึ่งการจับกุมผู้กระทำความผิดได้สำเร็จ
6 กุมภาพันธ์ 2564