ในทุกปีก่อนวันปฏิทินบอกเดือนร้อนเดินทางมาถึง ชุมชนอีมาดมีทราย ตำบลแก่นมะกรูด จังหวัดอุทัยธานี จะสละเวลางานส่วนตัวมาร่วมกันทำแนวกันไฟบริเวณ ‘ป่ามอตาจ่อย’ ปกป้องตู้กับข้าวชุมชน และป่าต้นน้ำ จากไฟฟอนที่อาจลุกโชนมาถึง
และพอเสร็จจากงานหนัก คนในชุมชนจะร่วมกันทำบุญป่าขอพรจากรุขเทวดา ผีสางนางไม้ ทำพิธีกรรมทางความเชื่อแบบกะเหรี่ยงควบคู่กับพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ ไหว้ดิน ไหว้น้ำ เอาบุญเอากุศล ให้เกิดความร่มเย็นกับทั้งชุมชนที่อยู่อาศัย และผืนป่าสายน้ำที่ใช้ประโยชน์
พอแล้วจากพิธีกรรมทั้งผีและพุทธ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปประกอบสัมอาชีพตัวเอง พร้อมๆ กับแบ่งเวลามาเฝ้าระวังไฟป่าไปจนกว่าฤดูฝนจะมาเยือนอีกครั้ง


1
“เรื่องราวมันเริ่มต้นจากเหตุการณ์ไฟป่าครั้งใหญ่”
วินัย หนุ่มจากหมู่บ้านอีมาดมีทราย และหัวเรี่ยวหัวหลักในการจัดงานทำแนวกันไฟ และบุญป่าครั้งนี้ย้อนความถึงที่มาของการจัดงาน
“ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าไฟป่าปีนั้น (ราวๆ ต้นพุทธทศวรรษ 2550) มันรุนแรงมาก ต้นไม้ใบหญ้า สมุนไพร และสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยเสียหายและตายหมดเลย พี่น้องในชุมชนเลยคิดว่า ควรหาทางทำอะไรสักอย่าง”
วินัย เล่าว่าจิตสำนึกอนุรักษ์ป่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เพราะทุกคนต่างพึ่งพาอาศัยป่าเก็บหาพืชผักอาหารสมุนไพรกันเป็นประจำ หากป่าได้รับความเสียหาย (จากไฟป่า) ย่อมกระทบถึงวิถีชีวิตคนในชุมชนเช่นกัน
หากแต่งานอนุรักษ์ก็ไม่ใช่งานง่าย มีแค่ใจอย่างเดียวคงไม่พอ วิธีการและกระบวนการก็สำคัญไม่แพ้กัน คนในชุมชนจึงตระเวนประสานหารือ ขอความช่วยเหลือจากคนหลายๆ กลุ่ม ทั้งจากผู้ทำทางจิตวิญญาณและศาสนา เอ็นจีโอที่ทำงานในท้องที่ จนได้ข้อสรุปตรงกันว่า ควรมีการทำแนวกันไฟเป็นประจำทุกปีควบคู่กับงานทำบุญป่า
แม้กิจกรรมดูไม่สลับซับซ้อนเท่าใดนัก แต่ผลลัพธ์ถือว่าเกินความคาดหมาย
เพราะนับจากวันนั้นมา ผืนป่าแห่งนี้ก็ไม่เผชิญภยันตรายใดๆ อีกเลย


2
งานบุญป่ามอตาจ่อยปีนี้ (พ.ศ. 2568) เพิ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 – 6 มีนาคม
ในช่วงกลางวันยังเป็นการตระเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่พิธีกรรมหลังพระอาทิตย์ตกดิน พี่น้องชาวบ้านจากอีมาดอีทราย รวมถึงชุมชนข้างเคียงในตำบลแก่นมะกรูดเริ่มทยอยมายังสถานที่จัดงาน ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ‘ต้นพระเจ้าห้าพระองค์’ อายุกว่า 300 ปี ที่ได้รับพิจารณาคัดเลือกเป็นหนึ่งใน ‘รุกข มรดกของแผ่นดิน ใต้ร่มพระบารมี’ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอการทรงเจริญพระชนมายุ 63 พรรษา 2 เมษายน 2561
ในการเตรียมงานเป็นไปอย่างเรียบง่าย ใครมีข้าวของเครื่องใช้อะไรที่จำเป็นก็ขนกันมาจากบ้าน แล้วค่อยมาเรียงร้อยประกอบร่างเหมือนกับการต่อจิ๊กซอว์
สิ่งไหนไม่มีก็ไปขอหยิบยืมมาจากวัด ใครถนัดลงแรงแบบไหนก็แบ่งสรรหน้าที่กันตามถนัด งานช่าง งานติดตั้งแสงไฟ งานหุงหาอาหาร ทำเทียนสำหรับใช้ในพิธี (ทำจากขี้ผึ้งในป่า) กระทั่งทำห้องน้ำไว้ใช้ชั่วคราว
นอกจากกำลังศรัทธาของตัวชุมชนเองแล้ว งานบุญยังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานในท้องถิ่น ทั้งจากภาครัฐและเอ็นจีโอมาร่วมเติมส่วนที่เหลือที่ขาด ทั้งข้าวของและทุนทรัพย์ เพื่อให้สิ่งที่หมายเดินหน้าลุล่วงได้มากที่สุด
กระทั่งพลบค่ำ หลังทานข้าวเย็นกันเรียบร้อย พิธีกรรมทางความเชื่อก็เริ่มขึ้น


บุญป่ามอตาจ่อยในคืนวันแรก เริ่มด้วยพิธีของ ‘เจ้าวัด’ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาติพันธ์กะเหรี่ยงโผล่ว มีการก่อเจดีย์ทราย กราบไหว้แม่น้ำและผืนดิน ว่ากล่าวบทสวดกันในภาษาชาติพันธุ์ ขอพรให้ชุมชนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข คุ้มครองลูกหลานให้มีความสุขความเจริญ อย่าได้เจ็บอย่าได้ป่วย แคล้วคลาดจากสิ่งอันตราย
ในกุศโลบาย การก่อเจดีย์ทราย หรือหากว่ากันตามที่ตาเห็น เป็นเจดีย์ที่ประกอบขึ้นจากไม้ไผ่ อันเป็นวัสดุที่ได้จากธรรมชาติ ไม่ได้สร้างบูชาเป็นวัตถุถาวร มีความหมายถึงความไม่จีรัง วันหนึ่งอาจตั้งอยู่ แต่ก็สามารถดับสูญได้ในวันต่อไป ตามสัจธรรมของธรรมชาติ
ส่วนวันต่อมาเป็นพิธีทำบุญป่า ทำบุญตามหลักศาสนาพุทธ เชิญพระสงฆ์จากวัดในหมู่บ้าน มีกิจกรรมตักบาตร ฟังพระสวด โพกผ้าสามสีล้อมต้นพระเจ้าห้าพระองค์ (บวชป่า) และจบด้วยการฟ้อนรำเอาฤกษ์เอาชัยรอบต้นไม้ใหญ่
“วันนี้เรามาเพื่อดูแลรักษาต้นไม้ลำธารของมอตาจ่อย ที่ไหลไปยังแม่ดีน้อยแม่ดีใหญ่ไปยังห้วยขาแข้ง เป็นหัวใจของพวกเราทั้งตำบล ทุกพื้นที่จะมีน้ำได้ก็อยู่ที่ตรงนี้ ทุกวันนี้ก็ต้องยกให้กับหมู่บ้านอีมาดอีทราย บรรดาญาติโยมทางนี้ที่อยู่ใกล้ชิดหน่อย มีส่วนดูแลมากกว่าส่วนข้างล่าง (พื้นที่ปลายน้ำ) แต่ส่วนข้างล่างได้ประโยชน์ด้วย และเราดูแลเพื่อลูกเพื่อหลานของพวกเรานี่ล่ะ การดูแลก็ต้องไม่มาตัดไม่โค้นต้นไม้ บริหารจัดการ พอถึงเวลาก็มาดูแลเรื่องไฟป่า ถ้าเราไม่เผาป่าเราก็รักษาได้ ในปีนี้ทวยเทพเทวดาอำนวยความสะดวกให้ฝนฟ้าตกลงมาหนักๆ ครั้งสองครั้งแล้วไฟก็ดับไป เพราะฉะนั้นก็เป็นบุญของพวกเราด้วย” คำให้พรจากพระสงฆ์ในพิธี


3
“ป่าที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์มากนะ ในละแวกตำบลแก่นมะกรูดไม่มีป่าไหนอุดมสมบูรณ์เท่าที่นี่อีกแล้ว ผลหมากรากไม้ก็ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติ เป็นที่รู้กันในตำบลแก่นมะกรูดว่าของที่นี่รสชาติดี”
อุดม กลับสว่าง เจ้าหน้าที่โครงการธรรมชาติปลอดภัย มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้เล่าถึงความสำคัญของป่ามอตาจ่อย ว่าพลางก็ชี้ให้เห็นกล้วยในป่าที่เติบโตสูงใหญ่กว่ากล้วยที่ปลูกตามสวนทั่วไป
การใช้ประโยชน์จากการเก็บหาของป่าของคนอีมาดอีทรายและชุมชนข้างเคียง ส่วนใหญ่เป็นการเก็บหาพืชผักผลไม้ อุดมเล่าว่า กับข้าวเมนูผักต่างๆ ที่ทำทานกันในงานบุญมาจากป่าแห่งนี้ทั้งนั้น ทรัพยากรที่เก็บหากันบ่อยๆ เช่น กล้วย ตาว ข่า หน่อไม้ รวมถึงตัดไผ่มาใช้ประโยชน์
“ที่สำคัญอีกอย่าง ที่นี่เป็นป่าต้นน้ำห้วยแม่ดีด้วยนะ”
คนในชุมชนเล่าว่ากลางป่ามอตาจ่อยมีตาน้ำอยู่ถึง 2 แห่ง และไหลมารวมกันเป็นห้วยแม่ดี ก่อนไหลผ่านเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เป็นลำห้วยสายหนึ่งจากหลายสายที่มาบรรจบกับลำห้วยขาแข้งก่อให้เกิดเป็นที่ลุ่มกว้างใหญ่กลางป่า เป็นแหล่งหากินและถิ่นอาศัยของสัตว์ป่า เช่น ควายป่าฝูงสุดท้าย ที่พบการกระจายตัวตลอดแนวลำห้วยขาแข้ง รวมถึงห้วยแม่ดี ทางใต้หน่วยพิทักษ์ป่าเขาบันได และห้วยหินตั้งลงไปทางใต้จนถึงหน่วยพิทักษ์ป่ากรึงไกร
หรือในส่วนนอกป่าชื่อห้วยแม่ดีก็รู้จักในสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจของนักเดินทาง


อุดม ย้อนความว่า งานบุญป่ามอตาจ่อยทำมานานกว่า 10 ปีแล้ว (ครั้งแรกจัดในปี พ.ศ. 2554) และเป็นกิจกรรมที่ทำต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ยกเว้นช่วงปีที่โควิด-19 ระบาด ส่วนตัวเขาเมื่อทราบข่าวการจัดงานก็จะมาร่วมกิจกรรมด้วยทุกครั้ง สนับสนุนงบประมาณทำกิจกรรมบ้าง หรือหากชาวบ้านขาดเหลืออะไรก็จะช่วยประสานธุระปะปังให้ลุล่วง
แม้ในบทหนึ่ง อุดมต้องสวมหมวกเอ็นจีโอในนามมูลนิธิสืบนาคะเสถียร คอยผลักดันกิจกรรมงานอนุรักษ์ การจัดตั้งป่าชุมชนให้กับท้องถิ่นตามภารกิจองค์กร แต่ในเรื่องส่วนบุคคล อุดมเล่าว่า เขาทำงานในจังหวัดอุทัยธานีมากว่า 10 ปี เทียวไล้เทียวขื้อกับชุมชนจนเสมือนเป็นญาติสนิทมิตรสหาย อะไรที่ช่วยได้นอกเหนือจากเนื้องานก็ยินดีช่วยอย่างไม่บ่ายเบี่ยง
“ก่อนมาถึงเพิ่งวิ่งไปยืมกะทะที่วัด เพราะชาวบ้านไม่มีรถไปขน” อุดมเล่าถึงสิ่งที่เพิ่งช่วยไป
และในมุมมองส่วนตัว เขาบอกว่างานนี้เป็นมากกว่าเรื่องของทางพิธีกรรมหรือการทำบุญ
“กิจกรรมนี้แสดงให้เห็นว่าพี่น้องที่อีมาดอีทรายรวมถึงญาติพี่น้องในตำบลแก่นมะกรูด มีความรักหวงแหนป่า พิธีกรรมอาจเป็นเรื่องกับความเชื่อตามวิถีชีวิตชุมชน แต่ก็ก่อให้เกิดความร่วมมือ ความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูล ช่วยกันแก้ปัญหาเพื่อดูแลรักษาป่าที่พวกเขาใช้ประโยชน์มาตลอด”

4
การรวมตัวกันทำบุญป่าของชาวบ้านอีมาดอีทราย และญาติมิตรในตำบลแก่นมะกรูดประจำปี ยังมีนัยแฝงเป็นเหมือนงานประชุมหมู่บ้านด้วยอีกประการหนึ่ง
เพราะเมื่อเสร็จพิธีกรรมทางจิตวิญญาณในคืนแรกแล้ว (ใช้เวลาไม่นานมากนัก เพียงราวๆ 1 ชั่วโมง) คนที่มาร่วมงานจะพากันนั่งหารือถึงเรื่องงานอนุรักษ์ป่ามอตาจ่อยกันต่อจนดึกดื่น บางคนก็อยู่ค้างอ้างแรมบริเวณทำพิธีกันเลย พอรุ่งเช้าจะได้จัดแจงเตรียมงานในทันใด
วินัย เล่าว่า คนที่มาร่วมงานทั้งหมด คือ คนที่มีใจอนุรักษ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หาแนวทางในการดูแลป่าของชุมชนต่อไป และบอกด้วยว่า เพราะหัวจิตหัวใจที่อยากอนุรักษ์ป่ามอตาจ่อยเอาไว้นี่ล่ะ จึงรวมคนมาร่วมกันทำแนวกันไฟและทำบุญกันได้ต่อเนื่องนานนับสิบปี
สำหรับวงประชุมในค่ำคืนของปีนี้ วินัยนำคุยเรื่องการจัดตั้งคณะกรรมการป่าชุมชน เขาประสานกับคนในชุมชนเรื่องการมาเป็นคณะกรรมการไว้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่ก็อยากถามความเห็นจากส่วนรวมต่อ เผื่อมีใครเสนอตัวอาสาหรือเสนอชื่อคนอื่นๆ เพิ่มเติม รวมถึงอยากฟังแนะนำจากมูลนิธิสืบนาคะเสถียรด้วยว่า สิ่งที่เตรียมไว้ยังขาดเหลืออะไรอีกบ้าง
ในอดีต มูลนิธิสืบนาคะเสถียร เคยพยายามผลักดันให้ป่ามอตาจ๋อยขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชนมาหนหนึ่งแล้ว แต่คราวนั้นสำเร็จเพียงครึ่งทาง สามารถจัดตั้งคณะกรรมการป่าชุมชนได้ ออกระเบียบกติกาการใช้ประโยชน์จากป่าและข้อห้ามต่างๆ ไว้เรียบร้อย และชุมชนก็มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน
แต่กลับไปไม่ถึงฝั่งฝันเพราะพื้นที่บริเวณป่ามอตาจ่อย เป็นพื้นที่ขอใช้ประโยชน์และดูแลโดยทหาร ทำให้เวลานั้นไม่สามารถจัดตั้งเป็นป่าชุมชนให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ การดูแลผืนป่าจึงดำเนินมาด้วยใจอาสา มีระบบระเบียบที่รู้กันแค่ในชุมชน
อุดม วิเคราะห์ว่า ปัญหาของป่ามอตาจ่อยมีอยู่ด้วยกันสองเรื่อง คือ ไฟป่า ที่ตอนนี้ชุมชนดูแลรักษาและป้องกันได้เป็นอย่างดีแล้ว ส่วนอีกข้อคือการใช้ประโยชน์จากคนต่างถิ่นที่อาจฉกฉวยเอามากเกินกว่าทรัพยากรจากป่าจะเติบโตหมุนเวียนได้ทัน แถมตัวป่ายังติดถนนสายหลัก เข้าถึงได้ง่าย หากไม่มีการดูแลหรือขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชนอย่างถูกกฎหมายแล้ว เกรงว่าการดูแลจะทำได้ลำบาก
อย่างไรก็ดี ผ่านวันมาจนถึงปัจจุบัน ป่ามอตาจ่อยหมดอายุจากการขอใช้ประโยชน์โดยทหารแล้ว ทำให้เป็นโอกาสอันดีสำหรับจัดตั้งป่าชุมชนอย่างถูกต้องตามกฎหมายอีกครั้ง และทางชุมชนได้ประสานเรื่องไปยังกรมป่าไม้เป็นที่เรียบร้อย อยู่ระหว่างขั้นตอนการยื่นชื่อคณะกรรมการป่าชุมชน ก่อนจะดำเนินขึ้นตอนต่อไปตามลำดับ
5
งานบุญป่ามอตาจ่อยผ่านพ้นไปได้ด้วยดีอีกปี
ในวันที่สองของการทำพิธีทางศาสนา นอกจากชุมชนในตำบลแก่นมะกรูดจะทยอยมาร่วมงานกันหนาตาแล้ว หน่วยงานภาครัฐ องค์กรพัฒนาในท้องถิ่น รวมถึงกรมป่าไม้ จากหน่วยป้องกันรักษาป่า และเจ้าหน้าที่ด้านจัดการป่าชุมชนก็เดินทางมาร่วมงานด้วย
เราได้เห็นชุมชนพูดคุยหารือกับเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเป็นกันเอง เอกสารที่ตระเตรียมสำหรับจัดตั้งป่าชุมชนก็ถูกส่งมอบในวันนั้น หลังเสร็จพิธีกรรมทั้งหมด
ในเอกสารเขียนไว้ว่า ‘ป่าชุมชนโค่งวะคิ่ง’ ที่แปลว่า ภูเขาต้นน้ำที่มีปลิง
แม้การจัดตั้งป่าชุมชนให้ถูกต้องตามกฎหมายยังมีอีกหลายขั้นตอนที่ต้องดำเนินการ แต่ชุมชนก็พร้อมสำหรับงานดูแลรักษาป่าแล้ว
ระหว่างเก็บข้าวของเครื่องใช้ในงาน มีเสียงคุยกันถึงการแบ่งหน้าที่ใครเป็นคนเอาของไปเก็บกับเอาของที่ยืมมาไปคืน
และหน้าที่ออกไปตรวจตราแนวกันไฟอีกงานหนึ่ง

กิจกรรมนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก โครงการธรรมชาติปลอดภัย ตามแผนงานส่งเสริมองค์ความรู้ให้กับชุมชนในการจัดการทรัพยากร
อ้างอิง
ผู้เขียน
ทำงานอิสระที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ การเขียน เรื่องสิ่งแวดล้อมและดนตรีนอกกระแส - เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใช้ไปกับการนั่งมองความเคลื่อนไหวของใบไม้และสายลม