‘ป่าเต็งรัง’ เป็นป่าที่แห้งแล้งที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สวยทรงเสน่ห์มากที่สุดในบรรดาป่าบก ในฤดูแล้งใบต้นรังที่อยู่บนสันเนินดินบางเปลี่ยนเป็นสีแดง ส่วนต้นเต็งอยู่ต่ำลงมาดินหนากว่าใบจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และต่อเนื่องเป็นผืนใหญ่สลับกับดงไม้สีเขียวในที่ลุ่ม สีสวยชุดนี้ถูกนำมาจำลองใช้เป็นสีหลังคาโบสถ์ วิหาร
หากเป็นป่าเต็งรังที่อยู่บนลานหินมีน้ำไหลรินให้พื้นดินแฉะอยู่เสมอๆ จะมีดงไม้ล้มลุกออกดอกหลากสีคลุมพื้นที่หลายไร่ เช่น ที่วนอุทยานน้ำตกผาหลวง และน้ำตกสร้อยสวรรค์ อุทยานแห่งชาติผาแต้ม จ.อุบลราชธานี ฤดูฝนในป่าเต็งรังบนลานหินหลายร้อยไร่เต็มไปด้วยดอกกระเจียว เที่ยวชมได้ที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม และอุทยานแห่งชาติไทรทอง จ.ชัยภูมิ





ฟ้า ดิน… กำหนดพิกัดให้ป่าเต็งรังมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งที่แน่นอน ภายใต้เงื่อนไขของพื้นที่ ประการแรกฝนตกน้อย ซึ่งมักอยู่ด้านหลังเทือกเขาสูง ทำให้ฝนตกด้านหน้าเขาเป็นส่วนใหญ่ หลงเหลือข้ามสันเขามาเพียงเล็กน้อย ที่เรามักเรียกกันว่าเขตอับฝน และฝนมีระยะทิ้งช่วงยาวนานมากกว่า 6 เดือน ฤดูร้อนแทบไม่มีน้ำในดิน
เพื่อความอยู่รอดต้นไม้ต้องหยุดการคายน้ำโดยการทิ้งใบแต่เสียดายสารสีเขียวที่ใช้สังเคราะห์ จึงดึงกลับมาเก็บไว้ในลำต้น เผยให้เห็นสารสีเหลืองสีแดงที่ทำหน้าที่ป้องกันแสง UV และดูดซับพลังงานในการสังเคราะห์แสง เราจึงเห็นเป็นป่าผลัดใบมีสีสันที่สวยงาม แต่ไม่นานต้นไม้ก็ผลิใบอ่อนออกมาใหม่ ช่วงนี้แมลงจำนวนมากออกหากินใบอ่อน นกเห็นโอกาสดีจึงทำรังวางไข่ นำหนอนและแมลงมาเลี้ยงลูก ส่วนใบแห้งที่ร่วงหล่นก็ช่วยกันแดดเผาดินลดการเสียน้ำในดิน

ประการต่อมา ดินมีแร่ธาตุอาหารน้อย เพราะเป็นดินร่วนปนทรายจัดหรือ ดินลูกรังหรือลานหินที่มีดินบางมีร่องหินแตก เรื่องนี้บรรดาต้นไม้ในป่าได้ทำ MOU กับราไมคอร์ไรซ่าให้ช่วยย่อยสลายแร่ธาตุให้สามารถดูดซึมได้ แล้วต้นไม้ส่งอาหารกลับมาตอบแทน ในฤดูฝนเราจึงมีเห็ดหลากชนิดกินอร่อยจากผืนป่านี้ ซึ่งบางครั้งเกิดกรณีพิพาทแย่งชิงเห็ดระหว่างคนกับเต่า


ในฤดูแล้ง สิ่งที่หนีไม่พ้นในป่าเต็งรังคือไฟป่า เรื่องนี้มิใช่เพิ่งเกิดแต่มีมานานหลายร้อยหลายพันปี จนต้นไม้ปรับตัวสร้างเปลือกให้หนาและทนไฟ เช่น เต็ง รัง เหียง พลวง แต่บางชนิดสร้างเปลือกบางก็จะผลัดเปลือกให้ใหม่สดพร้อมสู้ความร้อนเช่นเปลือกต้นตะแบก ส่วนลูกไม้และกล้าไม้ก็ซ่อนตาไม้ไว้ใต้ดินพร้อมกักตุนอาหารไว้ในราก หากถูกไฟเผา เมื่อฝนหรือน้ำค้างตกมากพอก็แตกหน่อแล้วเติบโตอีกครั้ง
ปรากฤการณ์นี้คล้ายกับการซอยเท้าอยู่กับที่ แต่หากภายใน1-2 ปี ไม่มีไฟป่าเกิดขึ้น กล้าไม้นี้จะเปลี่ยนเป็นการเขย่งก้าวกระโดด โตอย่างรวดเร็วให้เปลือกหนาและเรือนยอดสูงพ้นเปลวไฟ เราจึงมีป่าเต็งรังมาจนถึงทุกวันนี้


เรื่องต้นไม้ปรับตัวอยู่กับไฟป่าเคยมีงานทดลอง โดยใช้วัตถุทนความร้อนที่เปลี่ยนสีตามระดับความร้อน การทดลองทำโดยได้ฝังวัตถุทนร้อนลงใต้ดินลึก 3 – 5 ซม. วางที่ผิวดิน วางไว้ที่เปลือกไม้ และเปิดเปลือกฝักใต้เปลือกไม้ เมื่อทดลองเผาป่าในแปลงทดลอง ผลที่ได้ความร้อนไม่สามารถเปลี่ยนสีของวัตถุใต้ดินและใต้เปลือกไม้ แสดงว่าดินและเปลือกไม้เป็นฉนวนกันความร้อนชั้นดี
ปัจจุบันเมืองไทยห้ามมีไฟป่าเกิดขึ้น ผลที่ได้รับคือดินในป่าชื้นมากขึ้น เชื้อโรคเชื้อราในป่ามีเพิ่มมากขึ้นเพราะไม่ถูกไฟป่ากำจัด ต้นเต็ง รัง เหียง พลวง ฯลฯ ทนความชื้นไม่ไหวเริ่มทยอยยืนต้นตาย ไม้จากป่าชนิดอื่นจากพื้นที่ข้างเคียงเข้ามาทดแทน เราพบเห็นได้ตามสำนักงานหน่วยงานป่าไม้ที่กันไฟนานกว่า 20 – 30 ปี ป่าเต็งรังเริ่มหายไป หรือดูได้จากสถานีวิจัยป่าไม้ป่าสะแกราช จ.นครราชสีมา ที่เมื่อกว่า 50 ปีมาแล้วช่วงสงครามเวียตนามเคยมีการทดลองกันไฟไม่ให้เข้าในป่าเต็งรังราว 300 ไร่ ปัจจุบันป่าเต็งรังได้หายไปและเปลี่ยนชนิดป่าไปเรียบร้อย




เรื่องและภาพโดย นพรัตน์ นาคสถิตย์ ที่ปรึกษามูลนิธิสืบนาคะเสถียร