ความต้องการครีบฉลามที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ประชากรฉลามถูกล่าเพิ่มมากขึ้น โดยประชากรบางส่วนลดลงมากถึง 99 เปอร์เซ็นต์ สิ่งนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเนื่องจากอัตราการสืบพันธุ์ที่ช้าของฉลาม ซึ่งหมายความว่าประชากรของพวกมันใช้เวลานานในการฟื้นฟูจากการจับปลามากเกินไปหรือการแสวงประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ ชาวประมงมักจะถอดครีบออกจากตัวฉลามแล้วโยนทิ้งไป เพราะมีเพียงครีบเท่านั้นที่มีคุณค่า
การสูญเสียฉลามอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล เนื่องจากพวกมันมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลทางทะเล
นอกจากผลกระทบด้านลบต่อประชากรฉลามแล้ว การค้าหูฉลามยังส่งผลด้านลบต่อชุมชนมนุษย์อีกด้วย ในบางกรณี กิจการครีบฉลามเชื่อมโยงกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์
ความต้องการหูฉลามยังนำไปสู่การรุกล้ำของสายพันธุ์อื่นๆ เช่น ปลาฉนาก ซึ่งถูกจับและขายเป็นหูฉลาม
นอกเหนือจากความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและจริยธรรมแล้ว ยังมีข้อโต้แย้งทางเศรษฐกิจที่ต่อต้านการค้าหูฉลามอีกด้วย มีการวิจัยพบว่า มัลดีฟส์มีรายได้จากการท่องเที่ยวดำน้ำดูฉลามประมาณ 550 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปี 1995 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนมีกฎหมายห้ามประมงฉลาม) ซึ่งเป็นมูลค่าของฉลามที่มีชีวิตในฐานะทรัพย์สินด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อาจสูงกว่ามูลค่าของครีบของมันอย่างมาก และการสูญเสียประชากรฉลามอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจในท้องถิ่นที่ขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับฉลาม
การจับปลาฉลามมากเกินไปอาจนำไปสู่การล่มสลายของการทำประมงในท้องถิ่น ซึ่งอาจส่งผลด้านลบทางเศรษฐกิจต่อผู้คนที่ต้องพึ่งพาการประมงเหล่านี้ในการดำรงชีวิต
ในบางประเทศความต้องการหูฉลามได้นำไปสู่การพัฒนาของอุตสาหกรรมการประมงขนาดใหญ่ที่มุ่งเป้าหมายไปที่ฉลาม ซึ่งอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อสัตว์ทะเลและแหล่งที่อยู่อาศัยอื่นๆ ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การตกปลาด้วยสายยาว อวน และการลากอวน
นอกจากผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมและจริยธรรมแล้ว การบริโภคหูฉลามยังก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพอีกด้วย งานวิจัยเรื่อง Cyanobacterial Neurotoxin BMAA and Mercury is sharks จากมหาวิทยาลัยไมอามี่พบว่าหูฉลามอาจมีสารปรอทและสารพิษอื่นๆ ในปริมาณสูง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสตรีมีครรภ์ มารดาที่ให้นมบุตร และเด็กเล็กที่ไวต่อผลกระทบของปรอท
ด้วยความที่ฉลามเป็นสัตว์ผู้ล่าสูงสุดในห่วงโซ่อาหาร เนื้อเยื่อของพวกมันจึงเป็นแหล่งสะสมสารพิษ แม้จะมีความเชื่อว่าหูฉลามมีสรรพคุณทางยา แต่ก็ยังมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพียงเล็กน้อยที่สนับสนุนคำกล่าวอ้างเหล่านี้ และการศึกษาบางชิ้นพบผลเสียต่อสุขภาพจากการบริโภคหูฉลาม
ความต้องการหูฉลามไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะในเอเชีย แต่ยังรวมถึงส่วนอื่นๆ ของโลกที่มีการนำเข้าและขายเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย มีความพยายามที่จะควบคุมการค้าหูฉลามระหว่างประเทศผ่านองค์กรต่างๆ เช่น อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES)
แต่การค้าหูฉลามอย่างผิดกฎหมายยังคงเป็นปัญหาในบางพื้นที่ หลายประเทศได้ออกข้อบังคับเพื่อลดความต้องการหูฉลามและปกป้องประชากรฉลาม แต่การบังคับใช้กฎระเบียบเหล่านี้อาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย
เรามีทางเลือกอื่นที่ยั่งยืนและมีมนุษยธรรมมากกว่า เช่น โปรตีนจากพืชหรืออาหารทะเลประเภทอื่นๆ ซึ่งสามารถใช้ทดแทนในอาหารอย่างซุปได้ ด้วยการเลือกอาหารที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น
เราสามารถช่วยปกป้องฉลามและรักษาระบบนิเวศทางทะเลสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต เรายังสามารถสนับสนุนธุรกิจและองค์กรที่ยึดมั่นในแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนและมีมนุษยธรรมโดยเลือกที่จะสนับสนุนพวกเขา ซึ่งสามารถกระตุ้นให้ผู้อื่นทำเช่นเดียวกันและช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม
ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องตระหนักถึงผลกระทบของการเลือกอาหารของเรา และตัดสินใจอย่างรอบรู้โดยคำนึงถึงความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์ สิ่งแวดล้อม และผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมอาหาร
เรื่อง นายอัครวิชญ์ จันทร์พูล
อ้างอิง
ผู้เขียน
เราไม่มีทางอนุรักษ์สิ่งที่เราไม่เห็นคุณค่า และเราไม่มีทางเห็นคุณค่าถ้าเราไม่รู้จักมัน