– เราอาจเดินไม่ถึงก็ได้ ถ้าไม่บังเอิญมีเด็กจบใหม่ด้านพลศึกษามานำทำกายบริหารให้ทุกเช้า หรือนักวิ่งมาราธอนที่เห็นวิธีการเดินของเราทนไม่ได้ ต้องโทร.มาแนะนำให้พักบ่อยๆ

อาจารย์ได้บทเรียนอะไรจากการเดินในครั้งนี้บ้างคะ

ผมรู้สึกว่า สิ่งที่เราทิ้งไปไม่ได้เลยคือ มิตรภาพ เราเดินไม่ถึงกรุงเทพฯ หรอก ถ้าไม่มีคนให้กำลังใจ ผมมั่นใจในตัวเองและทีมระดับหนึ่ง แต่พอเจอปัญหาคนที่ช่วยเราฝ่าวิกฤตจริงๆ คือมิตรที่ยื่นมือเข้ามาระหว่างทาง เช่น เราอาจเดินไม่ถึงก็ได้ ถ้าไม่บังเอิญมีเด็กจบใหม่ด้านพลศึกษามานำทำกายบริหารให้ทุกเช้า หรือนักวิ่งมาราธอนที่เห็นวิธีการเดินของเราแล้วทนไม่ได้ ต้องโทร.มาแนะนำให้พักบ่อยๆ อีกอย่างหนึ่ง ผมเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนเดินผมก็ไปไหว้หลวงต่อโต ไหว้ขอพรแม่…เรื่องแบบนี้ ถ้าคุณมีแต่พลังธรรมดาๆ คุณไปไม่ถึงหรอก

แสดงว่าอาจารย์ก็คาดการณ์ว่าตัวเองมีโอกาสทั้ง ‘รอด’ และ ‘ล้ม’ หรืออาจจะตายก็ได้

แน่นอน แต่เราแลกได้… ถ้าโอกาสตายเพียงแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่รอด 70 เปอร์เซ็นต์ ผมเอาอยู่แล้ว

ไม่กลัวหรือคะว่าจะต้องเจอหรือโดนอะไรสักอย่างจากคนที่ไม่เห็นด้วย

นั่นคือการผจญภัย คือรสชาติของชีวิต (หัวเราะ) ผมก็ไม่ได้บ้าบิ่นขนาดนั้น ผมรู้ว่าโอกาสรอดมีเท่าไหร่ ถ้าคำนวณแล้วโอกาสรอดมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ถึงจะไป ที่เหลือก็ใช้ดวง เราเรียนรู้ทักษะการเอาตัวรอดมาแล้ว ดังนั้น ถ้าเรามีสติ มีความตั้งใจและไม่ประมาท สิ่งที่ต้องเผชิญก็แค่ความกลัว ความไกล ส่วนใหญ่ที่เอาตัวไม่รอดไม่ได้เกิดจากปัญหาข้างนอก แต่มจากใจเราเอง บางครั้งรู้สึกกลัวเกินไป ประมาทเกินไป แต่จริงๆ แล้วไม่มีเส้นทางไหนที่มันยากเกินไปหรอก

หลังการเดินสิ้นสุดลง และภารกิจเพื่อป่าแม่วงก์สิ้นสุดลงแล้ว ชีวิตของอาจารย์เป็นอย่างไรบ้างคะ

ผมอยากเดินอีกนะ เพราะช่วงที่เดินเรามีความสุขมากที่สุด เหมือนเราสร้างโลกในอุดมคติขึ้นมา มีแต่มิตรภาพ มีแต่ความสามัคคี มีแต่การแบ่งปัน พูดคุยกันในเรื่องที่มีสาระ ร่วมกันแก้ไขปัญหา เป็นโลกที่ไม่มีประโยชน์ส่วนตน มีแต่การทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ถามว่า เขื่อนแม่วงก์มีปัญหากับชีวิตผมหรือชีวิตคนที่เดินไหม…ไม่มี

อ้าว! ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีคนตั้งคำถามสิคะว่า อาจารย์ ‘เดิน’ ไปทำไม

เพราะเราเห็นความไม่ถูกต้องในความเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นเผ่าพันธ์เดียวที่สามารถทำในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของเราได้ เราขอประโยชน์ให้ป่า เพื่อเอาไว้ให้สปีชีส์อื่นอยู่ ให้สัตว์ป่าได้อยู่อาศัย เป็นที่อภัยทาน… เรื่องแบบนี้มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่จะทำได้

ผมเป็นคนประเภทที่เวลาทำอะไรต้องทำให้ดีที่สุด คำว่า ‘ดีที่สุด’ คือดีที่สุดในชีวิตของเรา ผมจะทุ่มปัจจัยทั้งหมดที่มี เช่น ดูว่าตัวเองอดนอนพอหรือยัง ถ้ายังก็ต้องอดนอนจนกว่างานจะเสร็จ ถ้าเต็มที่แล้วผลจะออกมาดีหรือแย่ก็ไม่เป็นไร ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าผมไม่ได้ทำให้ดีที่สุด ผมก็ไม่ทำนะ ตอนมาทำงานที่มูลนิธิสืบฯ ผมจะบอกเขาตลอดว่า ถ้าเจอคนที่ดีกว่าให้เอาเขามาทำได้เลย

การที่ต้อง ‘ดีที่สุด’ อยู่ตลอด ทำให้อาจารย์เหนื่อยกว่าคนอื่นไหมคะ

ก็เรามีแค่นี้ เราไม่มีอย่างอื่นนอกจากร่างกาย ชีวิต จิตใจ คุณพร้อมจะจนไหม ผมพร้อม คุณพร้อมจะลดเงินเดือนไหม… ผมเคยมาแล้ว ลดเกือบครึ่ง เพราะเงินในมูลนิธิไม่พอ คุณพร้อมจะไปกู้เงินมาทำโครงการที่อยากทำไหม…ผมทำไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ติดหนี้ก็ค่อยๆ ผ่อนใช้ไป สักวันก็หมด ที่ผมทำแบบนี้ได้เพราะผมไม่ได้มองเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง ผมไม่มีเป้าหมายในเรื่องวัตถุมาตั้งแต่ต้น ผมไม่รู้จักยี่ห้อรถ เสื้อผ้า นาฬิกาเลย ผมใส่เพื่อใช้ประโยชน์เท่านั้น และผมไม่มีภาระอะไรที่ต้องห่วง

สิ่งที่ผมทำ ใครจะเห็นไม่เห็นไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรามีความสุขที่จะทำ และมันก็มีประโยชน์

จากบทสัมภาษณ์ ศศิน เฉลิมลาภ ผู้ชายเดินดินธรรมดา กับการเดินด้วยสมอง ‘สองตีน’ ที่ไม่ธรรมดา นิตยสาร Secret ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2556

10 ปี เดินเท้าคัดค้าน EHIA โครงการเขื่อนแม่วงก์

ร่วมรักษาป่าใหญ่และสิ่งแวดล้อมกับมูลนิธิสืบนาคะเสถียร

สแกนผ่านระบบ Mobile Banking