ระหว่างช่วงเคลิ้มอยู่ที่มุมริมศาลาพื้นปูนแห่งนั้น ผมแว่วเสียงทีมงานและพี่กิ้นหารือกันถึงการปรับเปลี่ยนกำหนดการเนื่องจากเรากำไรเวลามาเกือบสี่ชั่วโมง แว่วว่าพวกเขาอยากเดินให้ถึงชุมชนวังซ่าน ผมรู้สึกมีแรงขึ้นหลังจากได้หลับตาพักนิ่งไปสักครึ่งชั่วโมง ลุกกะหย่องกะแหย่งขึ้นมากินข้าวเก็บซ่อนอาการที่เจ็บขาเพิ่มขึ้นบอกกับทีมงานว่า
“ไม่ต้องห่วงผม ผมสบายมากหน้าจะเดินได้ตลอด ส่วนคนอื่นใครไม่ไหวก็ผลัดกันขึ้นรถ”
ผมทำหน้าที่แสดงภาวะผู้นำ ขณะมองเปลวแดดนอกศาลาประชาคมที่ร้อนระอุ นานสองสามปีแล้วที่ผมไม่ได้เดินเท้าไกลๆ แบบนี้ แต่คิดว่าประสบการณ์สมัยเป็นนักเรียนธรณีวิทยาการเดินเที่ยวป่าไกลๆ ตอนหนุ่มๆ และการเดินทำงานกับชุมชนมาตลอดก่อนหน้านี้ น่าจะทำให้ตัวเองมีแต้มต่อในการเดินมากกว่าคนอื่น ยิ่งรู้สภาพผู้ร่วมเดินทางตั้งแต่เช้าหลายคนที่เริ่มออกอาการเท้าพองก็แอบภูมิใจกับตัวเองที่ดูเหมือนว่ายังไหวในครึ่งวันแรก
บ่ายสองโมงกว่าๆ คณะของเราที่เพิ่มขึ้นจากทีมงานมูลนิธิสืบนาคะเสถียรมาร่วมเดินสมทบเพิ่มขึ้น แต่ด้วยความประมาท ผมไม่แม้กระทั่งจะเปิดแผนที่ตรวจสอบภูมิประเทศและความลาดชันระหว่างวังชุมพรไปถึงวังซ่าน เพราะเส้นทางนี้ตลอดเกือบสองปีที่ผ่านมาเราขับรถผ่านไปผ่านมาเพื่อสำรวจเส้นทางน้ำนับสิบรอบ นับเป็นระยะที่เดินทางด้วยรถ ไม่น่าจะถึงสิบนาทีเสียด้วยซ้ำ
ขบวนเดินตอนบ่ายเผชิญกับแดดระอุร้อน ไม่มีแม้แต่ลมพัดเราเดินกันมาเรื่อย พูดคุยเฮฮากับคนที่พึ่งเริ่มเดินตอนบ่าย แม้รู้ว่าตามทฤษฎีเราไม่ควรดื่มน้ำมากเกินไปแต่แสงอาทิตย์ในวันนั้นดูเหมือนว่าจะไม่อนุญาตให้ทำตามนั้น
เส้นทางจากวังชุมพรดูเหมือนเป็นเส้นตรงยาวไม่รู้จักสิ้นสุดเสียที
ผมพึ่งสังเกตตอนเดินนี้เองว่าเราเดินขึ้นเนินยาวๆ หลายๆ ช่วง ทั้งที่เมื่อตอนขับรถผ่านไม่สามารถสังเกตได้เลย
เนินยาวและความร้อนที่ระอุขึ้นจากถนนยางมะตอย ดูดพลังของผมไปเรื่อยๆ จากประสบการณ์ที่เดินทางไกลมามากผมรู้ว่าการเหนื่อยหนักๆ แบบนี้ไม่เป็นผลดีแต่ที่ยิ่งกว่านั้นหลายจังหวะที่ก้าวขา ผมเจ็บเกร็งตั้งแต่น่องขึ้นมา และที่น่ากังวลคือ อาการกล้ามเนื้ออักเสพฉีกขาดที่รู้สึกได้ที่หน้าขา
ผู้ร่วมขบวนดื่มน้ำกันบ่อยขึ้น หลายคนราดน้ำเย็นจัดไปบนศีรษะ พี่กิ้นผู้ซึ้งมาเริ่มเดินจริงจังตอนบ่ายคงฟิตเหมือนผมเมื่อตอนเริ่มเดินเมื่อเช้า หุ่นผอมยาวของพี่กิ้นไม่มีน้ำหนักใดๆ ให้ต้องพาไปเหมือนผมนำความเร็วไปข้างหน้าด้วยอัตราสม่ำเสมอ
ขณะนั้นเองผมเริ่มบวกลบตัวเลขระยะทางที่เดินมากับสามร้อยแปดสิบแปดกิโลเมตรที่กว่าจะถึงจุดหมาย ผมคำนวนทันทีว่าจะต้องเดินในระยะขนาดนี้นี้ไปอีกสิบห้าเท่าตัวกับอาการที่เพียงครึ่งวันแรกผมก็เริ่มบาดเจ็บ แน่นอนว่าสิ่งที่หนักใจคือการไปถึงกรุงเทพฯ ให้ตรงกับวันเป้าหมายที่จะจัดงานเคลื่อนไหวรับในวันอาทิตย์เย็นเพื่อให้การเดินในครั้งนี้ของเราเป็นมรรคเป็นผลให้มากที่สุด แต่ความกังวลทั้งหลายทั้งปวงมาหนักหนาอยู่กับการตัดสินใจในการแสดงออกต่อคณะผู้ร่วมทาง
ผมรู้ว่าการเสแสร้งแสดงความเข้มแข็ง และฝืนเดินต่อสถานการณ์ความเจ็บปวดของผมส่งผลร้ายให้กับการเดินทางอีกกว่าวันข้างหน้า มากกว่าผลดีในวันนี้ ที่เพียงแสดงให้ผู้ร่วมเดินเห็นว่าผู้นำของเขา แข็งแกร่งเฉพาะหน้านี้อย่างไร นั้นคือสิ่งที่ถมทับเข้ามาในจิตใจ ขณะที่ขาทั้งสองข้างแสดงอาการประท้วงด้วยการส่งสัญญาณเจ็บปวดมากขึ้น
รถยนต์คันหรูเป็นขบวนขับตามกันมาสามสี่คัน เสียงพี่กิ้นตะโกนทักทายเจ๊วาดลูกสาวคนโตผู้สืบทอดกิจการท่าข้าวกำนันทรง และแนะนำให้ผมรู้จักกับดร.ประกิตนักธุรกิจใหญ่ของจังหวัดนครสวรรค์ที่ทำงานภาคประชาสังคมในนามชมรมนครสวรรค์สร้างสรรค์สังคมมาพร้อมกับกับกุหลาบสีแดงหลายดอกและถ้อยคำที่ให้กำลังใจ ดร.ประกิต ในเครื่องแบบนักธุรกิจกางเกง สีดำเสื้อเชิ้ตสีอ่อนนุ่งทับในเรียบร้อยลงเดินบนถนนอันระอุร้อนกับพวกเราด้วยรองเท้าหนังสีดำมันวับ
ระยะทางสองกิโลเมตรไม่ใช่ทางใกล้ๆ แต่การแสดงออกของ ดร.ประกิตลากจูงให้ผมมีแรงเดินไปถึงจุดพักที่อาคารโรงพักสาขาของตำรวจแห่งหนึ่งและที่นั้นเองคุณจันทร์เจ้า กวางแก้ว เครือข่ายคนทำงานสิ่งแวดล้อมคนคุ้นเคยของพวกเรากะเตรียมน้ำหวานเย็นเจี๊ยบพร้อมด้วยขนมนานาชนิดไว้รอ
บนที่พักแสนสบายผมพบว่าได้รับกำลังที่ไม่น้อยไปกว่าน้ำหวานและขนม ก็คือท่าทีอันเป็นมิตรของตำรวจที่โรงพักโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นประสบการณ์ที่ทำงานในพื้นที่มายาวนานของพี่ตำรวจที่ว่า ผมว่าถึงมีเขื่อน แม่วงก์น้ำก็ท่วมเพราะมันไม่ได้มาจากน้ำสายเดียว แค่นี้ก็เติมความเชื่อมั่นให้กับใจที่สู้อย่างมากมายแล้ว
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าอาการเจ็บที่ขาทั้งสองไม่ค่อยสัมพันธ์กับใจที่สู้ของผมเมื่อขบวนเริ่มออกเดินทางอีกครั้งแดดบ่ายสามบ่ายสี่ดูเหมือนจะไม่ลดความแรงลง ผมไม่ได้บอกใครถึงอาการเจ็บขาเดินลากขาตามขบวนไปเรื่อยๆ
ผมค่อยๆ ถอยตัวเองมาอยู่ด้านท้ายเหมือนไม่อยากให้ใครสังเกตเห็นอาการเดินที่ผิดปกติ
ผ่านไปได้อีกระยะหนึ่งผมต้องขอให้ทีมงานพักตรงร่มไม้ข้างหน้า
จำได้แม่นยำว่าตรงนั้นคือสะพานข้ามห้วยดงยาง เป็นระยะอีกสิบกิโลเมตร จึงจะถึงที่หมายของเราในใจผมรู้ว่ามันจะเป็นสิบกิโลที่หนักหนาสาหัสอย่างยิ่งทั้งวันนี้และวันต่อๆ ไป
ระหว่างกระโพลกกระเพลกลงไปนั่ง ผมหยิบเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ มาโพสต์ภาพผู้ร่วมขบวนที่ต่างมีสีหน้าท่าทางไม่ดีกว่าผมเท่าไรนัก
ผู้ร่วมเดินทางตั้งแต่เช้าของผมเปลี่ยนเวรขึ้นรถไปแล้ว
ผมจำได้ว่า ดราม่าโพสต์ข้อความไปชมทีมงานว่าดูหน้าจะเหนื่อยกว่าผมเสียอีก
นั้นก็เพียงเพื่อกระตุ้นตัวเองให้ก้าวเดินไปได้อีกสักสิบกิโล ทั้งๆ ที่รู้ว่าก้าวขาแทบไม่ได้แล้ว
ผมไม่ทันสังเกตว่านริศหายไปจากผู้นำขบวนไปพักใหญ่ วิทยุสื่อสารมาบอกปุ้ยว่า พี่ศศินต้องหยุดเดิน นริศเป็นคนตัดสินใจบอกว่า
“พี่ผมเห็นพี่เดินผมเจ็บมาก พวกเราไม่ให้พี่เดินต่อไปแล้ว เราจะนั่งรถไปพักที่พักที่เตรียมพร้อมไว้แล้วที่วังซ่านแล้วพรุ่งนี้เช้ามืดเราจะนั่งรถย้อนมาเดินจากจุดนี้ใหม่”
ผมพบตัวเองขึ้นนั่งบนรถแต่โดยดี ด้วยความโล่งใจ
ร่วมรักษาป่าใหญ่และสิ่งแวดล้อมกับมูลนิธิสืบนาคะเสถียร