33
หัวใจที่ขนาดใกล้ๆ กัน

เช้าวันสุดท้ายของการเดินทางคือวันที่ 22 กันยายน 2556 ผมตื่นนอนตอนตีห้าครึ่งกว่า ถือว่านอนตื่นสายกว่าทุกวันในการเดินทางสิบสองวัน การนอนหลับสบายในถุงนอนในห้องพักอาจารย์ภาควิชาที่สอนให้นิสิตสร้างเขื่อนอย่างสบายเป็นความมหัศจรรย์ใหญ่ของชีวิต และถือเป็นการแสดงออกการสนับสนุนทางวงการให้ผมอย่างน่าภูมิใจ 

ผมอาบน้ำอย่างสบายในห้องน้ำสะอาดสะอ้าน และค่อยๆ รวบรวมสิ่งของที่ไม่จำเป็นต้องใช้เนื่องจากวันนี้เราเดินจาก ม.เกษตร ไปหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร 

มีระยะทางเหลือเพียงสิบกิโลเมตรหน่อยๆ ซึ่งเป็นระยะทางต่อวันที่สั้นมากๆ เมื่อเปรียบเทียบกับระยะทางต่อวันที่เราเดินร่วมกันมาตลอดสิบสองวัน

แต่ที่ยากคือจะทำอย่างไรกับการจัดการขบวนคนจำนวนมากมายที่เรารู้แน่ๆ ว่าจะมีมาสมทบจำนวนมาก แต่นั่นแหละเราก็ไม่รู้ว่าจะกี่คนกันแน่ ถ้าจำไม่ผิดวันนั้นเรากำหนดเดินออกจาก ม.เกษตร สักแปดโมง

ผมมีโอกาสลงมานั่งพักสบายๆ ห่างจากขบวน อยู่ข้างๆ คูน้ำ สงบนิ่งและทบทวนความคิดและความรู้สึกของตัวเองในสถาบันการศึกษาของพี่สืบ นาคะเสถียร ที่เราทำงานสืบทอดเจตนา

ราวเจ็ดโมงผมเริ่มพิมพ์เพื่อโพสต์เฟซบุ๊ก เพื่อเขียนบันทึกสำคัญของตัวเองว่า

“วันที่ 13 ของการเดินทาง ผมเดินเท้ามา 300 กว่ากิโลเมตรแล้วครับ พอเดินจริงน่าจะขาดจากที่คำนวณในแผนที่ไปหลายสิบกม. จาก 388 กม. เมื่อคืน นศ. และอาจารย์ ม.เกษตร ช่วยเหลือเรื่องที่พักและเวทีงดงาม 

“ผมได้นอนตื่นตีห้าครึ่งเป็นครั้งแรก เพราะปกติเราจะต้องตื่นตีสี่ครึ่งถึงตีห้าเพื่อเริ่มเดินทางตอนตีห้าครึ่ง วันนี้ระยะเหลือไม่มากราว ๆ 12 กม. ถึงหอศิลป์กรุงเทพฯ ที่แยกปทุมวัน 

“ขบวนของพวกเรากำลังดื่มกาแฟสนทนากันอยู่ที่ลานกิจกรรมของนิสิตเกษตร หลายคนมาสมทบแต่เช้าแล้ว วันนี้งานหนักๆ ไม่ใช่การเดิน แต่คงเป็นงานการสื่อสารตรงๆ ถึงเพื่อนกรุงเทพ เราน่าจะออกจากที่นี่ในชั่วโมงข้างหน้า เพื่อไปถึง BTS หมอชิต ผ่านถนนวิภาวดี เซ็นทรัล จตุจักร เราจะหยุดพักทุกๆ สถานีรถไฟฟ้าเพื่อรอผู้คน 

“ผมจะพยายามเช็คอินว่าถึงไหนแล้วตลอดทาง กลางวันน่าจะกินข้าวที่อนุสาวรีย์ฯ ได้บ่ายๆ แล้ว ก่อนที่จะเหลือ 2 ก.ม. ท้ายสุดไปปทุมวัน 

“เราจะรอคนทุกๆ สถานีรถไฟฟ้าเช่นเคย จะพยายามพูดคุยสื่อสารกับทุกๆ ท่านเรื่อง EHIA เขื่อนแม่วงก์ให้มากที่สุด เพราะทุกท่านคือเป้าหมายหลักในการสื่อสารของเรา ขอบคุณเพื่อนร่วมเดินทางตั้งแต่วันแรก จนถึงวันนี้ที่สร้างความฝัน ความหวังให้ประเทศไทยยังยืนหยัดได้ในการอนุรักษ์ป่าไม้ และรักษาป่าแม่วงก์ให้ได้ ขอบคุณเพื่อนร่วมทีม ทั้งน้องสืบ และมวลมิตรที่อาสามาทำงาน ขอบคุณเครือข่ายอนุรักษ์ที่ยังคงความเป็นเพื่อนมิตรร่วมอุดมการณ์ 

“วันนี้เดินวันสุดท้าย…. ผมไม่แน่ใจว่าจริงแล้ว ผมอยากหยุดเดินจริงๆ หรือเพราะการเดินที่ผ่านมาช่างมหัศจรรย์ และเป็นการเดินทางกับมิตรที่งดงามยิ่ง 

“พรุ่งนี้…เราก็ยังเดินร่วมกันอยู่ ไม่ใช่ด้วยสองเท้า แต่เป็นหัวใจที่ขนาดใกล้ๆ กัน”

เราเดินออกจาก ม.เกษตร ตามกำหนดการ มีคนที่เคยเดินร่วมกันหลายท่าน มีคนใหม่ๆ ที่เพิ่งมาร่วมที่นี่หลายๆ คน อย่างเช่น สว.ประสารมฤคพิทักษ์ น้องๆ หลายคนที่ค่ายวิทยาศาสตร์ทางทะเล (Marine Camp) ที่ผมมักเล่าว่านี่คือจุดเริ่มความสนใจงานอนุรักษ์ธรรมชาติของผม มี ดร.จุ๋ง จุมพล รุ่นน้องวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ที่เราเคยทำวงดนตรีโฟล์คซองร่วมกันในชื่อวงมาลัย และใครต่อใครอีกหลายคน

เราเดินไปเรื่อยๆ ขบวนยาวขึ้นๆ ผมตั้งคำถามในใจว่า “พวกเราจะรักษาพลังแบบนี้ต่อไปได้อย่างไร”

นี่คือคำถามใหญ่ของวงการอนุรักษ์ต่างหาก

ขณะที่กำลังครุ่นคิด คุณเต้ หรือ ชื่อที่คุ้นเคยว่า ‘เขียว’ วินมอเตอร์ไซค์ประจำของพวกเราที่สำนักงานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ขี่จักรยานผมมาทักทายผม และบอกว่าวันนี้เขามาบริการฟรี สำหรับการประสานงานต่างๆ ให้ใช้มอเตอร์ไซค์เขาได้ทั้งวัน ที่ผ่านมาเขาเป็นคนพาผมวิ่งไปไหนต่อไหนในการทำงานทั่วทั้งกรุงเทพฯ

ลูกศิษย์ นักกิจกรรมที่ ม.รังสิตของผมโพสตต์แท็กรูปกิจกรรมค่ายเยาวชนอนุรักษ์ที่ผมร่วมจัดกับเขาเป็นค่ายสุดท้าย ก่อนที่จะออกมาอยู่มูลนิธิสืบนาคะเสถียร เธออ้างถึงชื่อค่ายนั้นของเราว่าคือค่าย ‘จากภูผาถึงทะเล’ 

“ตุลา 46 เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ผู้ชายคนนี้เดินจากภูผาสู่ทะเลพร้อมกับหัวใจของเด็กๆ หลายสิบคน วันนี้ผู้ชายคนเดิมเดินจากภูผาเช่นเคย. แต่เป็นจากภูผาสู่มหานครพร้อมกับหัวใจของคนไทยอีกนับพัน. วันนี้เราใช้หัวใจเดินไปพร้อมๆ กับอาจารย์นะคะ”

เราค่อยๆ เดินข้ามสะพานห้าแยกลาดพร้าวเพื่อเข้าเขตเมืองชั้นในจริงๆ มีคนมากมายไปหมดที่มาสมทบกับเราตามสถานีรถไฟฟ้า

แถวๆ สนามเป้า ผมพบคนสำคัญของการอนุรักษ์อย่างพี่ภินันท์ โชติรสเศรนี ประธานกลุ่มอนุรักษ์กาญฯ ผู้นำฝ่ายประชาชนคนสำคัญในการคัดค้านเขื่อนน้ำโจน ผมเดินไปไหว้ขอบคุณและขอพรจากพี่ภินันท์ พลังบางอย่างเราส่งถึงกันอย่างชัดเจน

พอถึงอนุสาวรีย์ชัย ผู้คนมากมายเต็มทั้งลานด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ แล้วก็มีคนใส่เสื้อขาวแขนยาว STOP EHIA เต็มไปหมด ผมจำได้ว่าผมใช้โทรโข่งพูดยาวๆ กับผู้คนจำนวนมากอยู่ช่วงหนึ่ง บรรยากาศชุลมุนจนสตาฟต้องพาผมไปหลบเพื่อพักทำสมาธิก่อนจะถึงช่วงสุดท้ายของการเดิน

ตอนบ่ายๆ ทีมสตาฟให้สัญญาณเดินหลังจากได้ข้อตกลงการจัดขบวน เรียงแถว ทราบมาว่าตำรวจให้เราใช้ถนนได้เลนหนึ่งเพื่อนำคนจำนวนเรือนหมื่นเดินสองกิโลเมตรครึ่งไปหอศิลป์ ผมมาทราบทีหลังว่าหลังจากที่ผมเดินนำไปถึงหอศิลป์แล้วว่าท้ายขบวนยังไม่ได้ออกจากอนุสาวรียชัยฯ

ที่หอศิลป์เกิดปรากฏการณ์ที่คนมาชุมนุมกัน ผมรู้สึกเดินตัวลอยๆ ผ่านไปเหมือนความฝัน ผมไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจอะไรมากมาย รู้สึกแต่เพียงว่าเราทำอะไรลงไป แล้วเราจะต้องทำอย่างไรต่อไป และนั่นก็ไม่ได้หมายถึงเวทีที่เราจะทำตอนเย็นวันนี้ แต่เป็นเรื่องขบวนการอนุรักษ์ที่ควรจะต้องทำหลังจากนี้

มีคนบนทึกเหตุการณ์ในเย็นนั้นตั้งแต่ผมขึ้นเวทีรอบแรกไปพบพี่จี๊ด จิระนันท์ พิตรปรีชาและวงมาลีฮวนนาบนเวทีในรอบแรก ก่อนที่จะฝนตกหนักและให้ผมเข้าไปพักในห้องอเนกประสงค์ภายใน ผมได้พบผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านที่รอผมอยู่ จำได้ชัดๆ คือ อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ และพี่สุเทพ วงโฮป กับครอบครัวที่ทำเพลงกอดแม่วงก์ ที่มีพี่จี๊ดแต่งให้อย่างไพเราะ ผมจำได้ดีว่าผมเดินไปหาอาจารย์รตยา และก้มกราบอาจารย์ที่พื้นเสมือนว่าเราได้ทำงานชิ้นสำคัญให้อาจารย์สำเร็จแล้ว

หลังฝนหยุดผมถูกชวนออกมาที่เวทีอีกครั้ง คนยังหนาแน่น ท่ามกลางปรอยฝน ผมชวนผู้คนแสดงออกเชิงสัญลักษณ์จากการเดิน STOP EHIA MEAWONG ที่หอบหิ้วใส่ถุงพลาสติกมัดยางกันฝนมาอย่างปลอดภัยสิบสามวันสามร้อยกว่ากิโลเมตร ผลัดกันห้อยหิ้วกะเตงมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเราแบกมันมาอย่างหนักเหมือนกับข้อมูลที่ผิดพลาดในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่พวกเราต้องทนกับมันมาอย่างไม่อาจยอมรับได้

ผมตัดสินใจฉีกเล่มรายงานก่อน แล้วส่งต่อให้ผู้คนช่วยกันทำลายมันให้กระจายหมดสิ้นสภาพไปอย่างสงบ ไม่ได้แสดงอารมณ์รุนแรงอะไรที่หยาบคาย เพราะเราทำการประท้วงครั้งนี้ด้วยการอารยะขัดขืน อย่างสันติอหิงสา

ผมเชื่อว่าสิ่งที่ที่ผมพูดบนเวทีคงมีคนบันทึกอะไรไว้มากมายแล้วในสื่อต่างๆ ในบันทึกของผมชิ้นนี้ผมขอเลือกที่จะบันทึกคำพูดของอาจารย์รตยา จันทรเทียร ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ผู้เป็นพลังใจพลังปัญญา พลังอุดมคติ ให้พวกเราทำงานให้พี่สืบตลอดมาบนเวทีแห่งนั้นว่า

“ดิฉันอยู่บนนี้ มองลงไปข้างล่างแล้วสบายใจ ตายไปแล้วก็จะมีคนทำต่อ”

ผมเชื่อว่าพูดนี้คงทำให้ผู้คนที่มาร่วมชุมนุมกันน้ำตาซึมเหมือนผมเช่นกัน…

จบการบันทึก 13 วันของการเดินเพียงเท่านี้

10 ปี เดินเท้าคัดค้าน EHIA โครงการเขื่อนแม่วงก์

ร่วมรักษาป่าใหญ่และสิ่งแวดล้อมกับมูลนิธิสืบนาคะเสถียร

สแกนผ่านระบบ Mobile Banking