ภาพประทับการชูธงทาบฟ้าทึบเมฆฝนที่แพขนานยนต์ น่าจะเป็นการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ในการประท้วงโครงการพัฒนาที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจต่อผู้คนทุกรุ่นที่ได้เห็นอีกยาวนาน
พี่หาญณรงค์ผู้ซึ่งเริ่มเดินกับเราตั้งแต่เมื่อวาน ยกเลิกกำหนดการงานต่างๆ มาเดินต่อกับเราวันนี้ทั้งวัน พี่หาญวิ่งขึ้นลงหัวขบวนท้ายขบวนเก็บภาพอย่างเอาจริงเอาจัง
แน่นอนว่าภาพการรณรงค์ที่มีชีวิตแบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
ผมลองสำรวจขบวนของเราที่เหลือข้ามเท้งมาเดินต่อ หกสิบห้าคนจากร้อยกว่าเมื่อเช้ามา บางคนตั้งแต่มาจนถึงกลับอาจจะยังมิได้ทักทายหรือร่ำลากัน แต่จะเป็นไรไปเล่า เพราะการเดินร่วมกันครั้งนี้นอกจากจะเป็นการแสดงตัวออกมาสนับสนุนคนบ้าอย่างพวกเราแล้ว ก็ยังเป็นการใช้หัวใจที่สื่อสารถึงกัน
ขบวนที่สั้นลงจากตอนเช้าเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นๆ หลายครั้งที่ผมต้องปรับจับจังหวะตัวเองใหม่ การเดินกับขบวนใหญ่ไม่สะดวกสบาย หยุดง่าย เริ่มต่อง่าย เหมือนเมื่อวาน
ยิ่งใกล้เมืองใกล้ถนนใหญ่ ทีมงานรักษาความปลอดภัยยิ่งต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรถบรรทุกใหญ่เฉียดเข้าใกล้ขบวน
ทีมงานของผมเริ่มเพิ่มการดูแล สั่งให้มีคนประกบผมให้มากขึ้น หัวขบวน กลางขบวน และท้ายขบวนมีทีมงานหลักๆ โบกธง กันคนกันรถ มีผู้คนขับรถมาให้กำลังใจผมถี่ขึ้น หลังจากที่เราข้ามแพมาฝั่งมโนรมย์ที่การเดินทางจากเมืองชัยนาท และถนนสายเอเชียมามากขึ้น
เดินมาหลายวัน ผมได้สังเกตเห็นว่าทีมงานอาจจะมีปัญหาในการประสานงานมากขึ้น โดยเฉพาะการตัดสินใจไปนอนที่บ้านพี่ตุ๊ แครี่ออน อำเภอหันคา ซึ่งต้องย้อนกลับจากจุดหมายสุดท้ายตามแผนงานที่เราจะต้องไปให้ถึง ย้อนกลับมาไกลในเส้นทางที่หลงง่าย
ที่สำคัญคือเมื่อคืนพวกเราก็ไม่คาดคิดเรื่องจะมีคนที่มาเดินด้วยในปริมาณขนาดนี้ทั้งขบวน
แต่ที่ยากกว่านั้นคือ ขบวนรถที่ต้องวิ่งติดตามกันไปในทางวกวนที่ไม่มีใครเป็นผู้ชำนาญทาง เพราะเจ้าของบ้านหลังจากมาเยี่ยมเยียนเราเมื่อคืนก็สาละวนอยู่กับการไปเตรียมรับแขก
นอกจากนี้ พอรู้ว่าขบวนของพวกเราจะนอนพักบ้านพี่ตุ๊ที่ชัยนาท ตำรวจสายสืบของชัยนาทก็ติดต่อเจ้าของบ้านเพื่อไปดูพวกเรา
แน่นอนว่าเรายังเป็นที่ไม่น่าไว้วางใจในสายตาผู้พิทักษ์สันติราษฏร์อยู่อย่างเช่นเคย
ทีมงานเริ่มปรึกษาหารือ ว่าจะหาที่พักที่อื่นใกล้แยกทางน้ำสาครที่เราจะต้องเดินไปให้ถึงตามแผน แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่ได้เพราะความฉุกละหุก และจำนวนคนที่มากมาย เกินที่ห้องน้ำห้องท่าจะรองรับ
นี่คือปัญหาที่เตรียมซ้อมให้กับทีมงานในอีกวันสองวันข้างหน้ากระมัง
ถึงทางแยกที่ไปบ้านพี่ตุ๊ ทีมงานผมถามว่า “ใครเหนื่อยและจะแยกไปที่พักก่อนไหม?” พวกเราถามคนหกสิบเจ็บคนที่ทางเท้าข้างทาง
“ผมจะขอให้อาจารย์ศศิน เดินไปถึงสายเอเชียให้ได้ตามแผนการครับ” นริศชี้แจง
ทุกคนมองหน้ากัน ผมไม่เห็นแม้แต่การปรึกษาหารือ สักชั่งอึดใจผมก็เห็นฉันทามติของผู้ร่วมขบวนที่เหลือ ซึ่งส่วนใหญ่เกินมาด้วยกันยี่สิบกว่ากิโลเมตรตั้งแต่เช้ามาจนใกล้ค่ำ
นั่นก็หมายความว่าผู้คนขบวนนี้พร้อมใจจะเดินเป็นเพื่อนกันไปอีกเจ็ดแปดกิโลเมตร ไปจนถึงค่ำ โดยไม่มีอาหารเย็น
ผมเดินตามหลังขบวนไป ใช้พลังที่เหลืออยู่ไม่มากนักทักทายผู้คนที่ยังพูดคุยด้วยไม่ทั่วตั้งแต่เช้า ทุกคนสดใสกระตือรือร้นกับกิจกรรมในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง
ผมจำได้ว่าวันนี้เองที่ผมโพสต์ว่า “สังคมคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงด้วยคนเป็นจำนวนมากแต่เปลี่ยนแปลงด้วยคนจำนวนน้อยที่มีพลัง”
ผมจำได้ว่าประโยคนี้ผมจำมาจากบทความในคอลัมน์ชื่อ ‘ลิ้นชักนักเดินทาง’ ของพี่ศุ บุญเลี้ยงในนิตยสารอาทิตย์ที่ผมชอบอ่านตอนหนุ่มๆ
ร่วมรักษาป่าใหญ่และสิ่งแวดล้อมกับมูลนิธิสืบนาคะเสถียร